Tuesday, May 29, 2007

กูก็รีบ...

ปกติเลิกงาน 5 โมงครึ่ง จะอยู่ในออฟฟิศอีกครู่เดียว ไม่เคยลงมาจากตึกเกิน 6 โมงครึ่งเลย วันนี้เป็นครั้งแรกที่ออกมาตอนอีก 10 นาทีจะทุ่ม แต่ก็เพราะไม่ปกตินั่นแหละ ช่วงบ่ายดันห้าวไปอัพเกรด php, apache, mysql (แต่มีวัตถุประสงค์เรื่องงาน ไม่ใช่เอามันส์) เล่นซะจนกระทั่ง web application ของเดิมในระบบมันใช้งานไม่ได้ นั่งแก้กันลนลาน เพราะกลัวกลับบ้านช้า "พ่อคิดถึงลูกคิด"

โชคดีเหลือเกิน รอรถไฟฟ้าก็ไม่นาน รถเมล์ต่อที่สองก็ไม่ติดแถมได้นั่งด้วย ลงจากรถเมล์ก็เจอสองแถวขึ้นนั่งแล้วออกทันทีอีก ...โชคดีแล้วกู ยิ่งกว่าถูกหวย กำลังรีบเลย... เหลือบไปเห็นสติกเกอร์บนรถสองแถว
กูก็รีบ...


555 โดนใจ ได้ใจ มันต้องขับไวแน่ๆ ถึงบ้านก่อน 2 ทุ่มครึ่งแหง ทันดูละคอน "แรมพิศวาส" ตอนอวสาน (แล้วใครวะ บอกว่าคิดถึงลูก) ผ่านไปป้ายเดียว พอเลยเซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์เท่านั้นแหละ ผีตัวไหนไม่รู้มันสิงตีนโชเฟอร์เข้าให้แล้ว แซงซ้ายปาดขวา บีบแตรไล่คันอื่น ผู้โดยสารกระเด้งหน้ากระเด้งหลังตามจังหวะ เร่งเบรก เร่งเบรก ของผีโชเฟอร์สองแถวคันนั้น แทบจะตลอดทาง ยังไม่ทันข้ามสะพานพระนั่งเกล้า ก็อยากจะบอกไอ้เจ้าคุณโชเฟอร์ว่า
กูไม่รีบ...แล้ว
เพราะกลัวว่านรกที่มึงจะไป จะถึงก่อนบ้านกู

Monday, May 28, 2007

Business Model Template

ที่เคยบอกว่าช่วงนี้แวะเวียนไปที่ SlideShare บ่อยมาก วันนี้เห็น presentation ตัวนี้แล้วชอบ เพราะรู้สึกว่ามันดูเข้าใจง่ายสำหรับตัวเอง แม้ผมจะไม่ถนัดเอาซะเลยกับเรื่องพวกนี้ (ก็อยากเรียนรู้ไปซะทุกเรื่องจนยิ่งกลายเป็นคนหยิบโหย่งมากขึ้นทุกวัน)



จากหน้าสุดท้ายของ presentation นี้ก็เลยได้มาอีกหนึ่ง Links ที่น่าติดตาม Business Model Design and Innovation

"ทุกวันนี้ยังเอาดีทางไหนไม่ได้ซักทางเลยเรา"

Saturday, May 26, 2007

Information Management

อินเทอร์เน็ตเทคโนโลยียุคนี้เป็นยุคของ Web 2.0 ข้อมูลข่าวสารมากมายเกิดจากผู้ใช้มากกว่าผู้ให้บริการ เช่นในยุคก่อนหน้านี้ คือ Web 1.0 จำนวนคนที่สร้างเนื้อหาข้อมูลมีเพิ่มขึ้นมหาศาล ข้อมูลก็เลยมีมากขึ้นมหาศาลด้วย

ทุกวันนี้อัตราความเร็วในการอ่านข่าวสาร ข้อมูล เฉพาะเรื่องที่ผมสนใจและจำเป็นต้องใช้งาน ตามไม่ทันกับอัตราการเกิดของมัน แบบที่เรียกว่า ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นเลยก็ว่าได้ แต่สาเหตุหนึ่งในความช้าของผม คือ การออกนอกเรื่องที่ตั้งใจไปเรื่อยเปื่อย (ตามลิงก์ในแต่ละบทความไปไม่รู้จักจบ) อ่านบทความในอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์หนึ่ง พอมารู้ตัวอีกครั้งก็ไปไกลแล้ว กลับไปหาเว็บไซต์แรกไม่เจอ เชื่อว่าหลายๆ คนก็เป็นแบบผม แต่ปัญหานี้ต้องแก้ที่ปัจเจกครับ สมาธิใครสมาธิมัน

Information Management หรือเรื่องจัดการบริหารข้อมูลของบุคคล ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน และครอบครัว ให้สามารถจัดเก็บเพื่อค้นหาและนำออกมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ รวดเร็ว ถูกต้อง ตรงตามความต้องการ แปลกแต่จริง เมื่อคิดถึงคำนี้ ทำให้ผมนึกไปถึง ความตาย สมมุติว่าถ้าผมตายไปอย่างกระทันหัน วันนี้ ชั่วโมงนี้ หรือนาทีนี้ คนข้างหลัง เช่น เพื่อนร่วมงานที่ต้องสานงานต่อ เมียและลูกที่ต้องติดตามเรื่องทรัพย์/หนี้สิน มรดก ที่ผมไปทำเรื่องเอาไว้มากมาย จะสามารถ Information Management ข้อมูลของผมได้ยังไง คงเป็นเรื่องยาก เช่นว่า ผมไปทำประกันชีวิตให้ผู้รับผลประโยชน์คือ ลูกเมีย โดยไม่ได้บอกใครไว้เลยว่า เมื่อผมตายแล้วพวกเขาจะต้องเอาข้อมูลอะไร จากไหน ไปติดต่อใคร เพื่อจะได้รับผลประโยชน์ตามที่ผมตั้งใจไว้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เรื่องของ Information Management แม้จะเป็นข้อมูลบุคคล แต่ตราบใดที่เรายังมีผู้เกี่ยวข้อง ที่ได้รับผลกระทบจากการจากไปของเรา เราก็ต้องจัดการให้ Information Management นั้น ใช้การได้โดยคนอื่น(ผู้เกี่ยวข้อง)ด้วย หลังจากเราไม่อยู่แล้ว

Information Management ในความเข้าใจของผมดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ของการเตรียมพร้อมสำหรับความตาย

Wednesday, May 23, 2007

ช่องว่างระหว่างวัยในตัวเรา

ปัญหาช่องว่างระหว่างเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะระหว่างลูกกับพ่อแม่ เป็นปัญหาที่เรื้อรังอยู่คู่กับโลกมานาน นับวันจะยิ่งพบมากแทบจะทุกครอบครัวในสังคมเมืองบ้านเรา ลองคิดแบบ "inside out" คือ จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง สมัยเด็กๆ เรามักชอบขัดคำสั่งพ่อแม่ สิ่งไหนที่ห้ามสิ่งนั้นยิ่งท้าทาย เข้าทำนองยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ถึงเวลาถูกจับได้มีปากมีเสียงกัน ลูกๆ มักจะมีคำถามว่าทำไม พ่อแม่มีเหตุผลอะไร แต่คำตอบมักจะเป็น "เอาน่ะ! เชื่อพ่อแม่เถอะนะ พ่อกับแม่อาบน้ำร้อนมาก่อนลูก รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรไม่ควร" (แต่ลองถามพ่อกับแม่ดูสิครับ ว่าตอนเด็กๆ เคยเชื่อปู่ย่าตายายบ้างมั้ย) แต่ไม่เคยเห็นอธิบายให้เข้าใจจริงๆ ซักที

จนเราโตเป็นผู้ใหญ่แต่งงานมีครอบครัว มีลูกเป็นของตัวเอง แทบร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า พอเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้ว เข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ อีกเลย ปัญหานี้เป็นความไม่เข้าใจ เป็น "ช่องว่างระหว่างวัย" ของคนมากกว่าหนึ่งคน ที่ดูจะเป็นเรื่องปกติไปซะแล้วสำหรับทุกครอบครัว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะประคับประคองได้ดี และใครจะลามเป็นปัญหาใหญ่โตกว่ากันเท่านั้น

ทางแก้ปัญหา "ช่องว่างระหว่างวัย" ของคนมากกว่าหนึ่งคนข้างต้น ไม่มีสูตรสำเร็จ คล้ายกับไข้หวัดที่ไม่มียาเฉพาะ ต้องรักษาตามอาการ ต้องอาศัยความร่วมมือจากคนทั้งสองวัย ความรักเป็นส่วนผสมหลักของตัวยานี้ แต่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป

อีกมุมมองหนึ่งในฐานะที่ผมก็มีลูกเป็นของตัวเองแล้วเหมือนกัน บรรยากาศระหว่างผมและภรรยากับลูก เริ่มจะเหมือนกับปัญหาระหว่างตัวผมกับพ่อแม่ ในตอนที่เราเป็นเด็กๆ มากขึ้นทุกวันแล้ว ทำไมล่ะ! ตอนนี้เราเป็นพ่อแม่ ทำไมเรากลับลืมความรู้สึกของตัวเราเองตอนที่เป็นลูกไปเลย ลูกต้องการเหตุผล ต้องการคำอธิบาย แต่เราก็ไม่พยายามที่จะให้เหตุผล ไม่พยายามที่จะอธิบาย ไม่หาแนวทางแก้ไขปัญหา ทั้งที่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร จะได้ไม่ต้องรอให้ลูกเข้าใจเอาเอง ก็ต่อเมื่อเติบโตขึ้นจนเป็นพ่อเป็นแม่คน

ผมขอเรียกว่ามันเป็น ช่องว่างระหว่างวัยในตัวเรา

Tuesday, May 22, 2007

ผู้ประกาศข่าวที่สวยที่สุด


เห็นเธอครั้งแรกจากโพสต์หนึ่งใน OKNation เธอชื่อว่า Melissa Theuriau เป็นคนฝรั่งเศส ชาวเน็ตหลายๆ คนบอกว่าเธอเป็นผู้ประกาศข่าวที่สวยที่สุด(ในโลก) จริงไม่จริงไม่รู้แล้วแต่มุมมอง ความชอบของแต่ละคน แต่ผมก็เห็นด้วยครับว่าเธอสวยจริง ยังไงผู้ประกาศข่าวสาวของไทยก็มีสวยๆ น่ารักๆ หลายคนนะครับ

Thai #1 Badminton World Ranking

ผมไม่ได้เป็นนักกีฬาหรือแฟนกีฬาแบดมินตัน แต่ก็ชอบดูกีฬาประเภทนี้มากครับ ดูสนุก ตี่นเต้น เร้าใจ นักแบดมินตันต้องแข็งแกร่ง และว่องไวสุดๆ เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาพอได้อ่านข่าว

สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้ประกาศอันดับโลกนักแบดมินตันล่าสุดเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 17 พค. ปรากฏว่าคู่ผสมของไทย สุดเขต ประภากมล/สราลีย์ ทุ่งทองคำ ได้รับการขยับจากอันดับ 2 ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ประเภทคู่ผสมของโลกเป็นครั้งแรก ในระยะหลายสิบปีที่นักแบดมินตันไทย ไม่เคยได้รับอันดับโลกสูงสุดในระดับนี้

รู้สึกยินดีและภูมิใจมาก เพราะถึงแม้ว่าแทบจะตลอดมา ที่นักกีฬาแบดมินตันของเอเชียรวมทั้งไทย จะอยู่อันดับต้นๆ ของโลกมาตลอด (เรียกว่าฝรั่งสู้ไม่ค่อยได้) แต่ทั้งชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นนักแบดมินตันไทย ขึ้นอันดับ 1 ของโลกมาก่อนเลย ส่วนใหญ่จะเป็น จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ที่เรามักจะเป็นรองเสมอมา ขอชื่นชมในความสามารถ ความพยายามของนักกีฬาทั้งคู่ และผู้อยู่เบื้องหลังทุกท่านด้วยครับ

ขนาดขึ้นถึงอันดับ 1 ของโลก แต่ข่าวนี้ไม่น่าจะดังเท่าการเป็นแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ของทีมชาติไทย ถึงแม้จะเชื่อว่าผลกระทบคราวนี้ จะไม่ได้ทำให้ประชาชนคนไทย หันมาเล่นกีฬาเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยข่าวนี้ก็น่าจะทำให้ คนไทยบางคนมีรอยยิ้มได้ ในยามที่บรรยากาศบ้านเมืองดูตึงเครียดแบบทุกวันนี้

Friday, May 18, 2007

ทำสิ่งที่ยากที่สุดก่อน

เมื่อวานมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง Spiderman 3 หลังจากดูจบรู้สึกตัวเองว่ามีอารมณ์ต่างกับ Spiderman สองภาคแรกมาก (ปัจจัยหลักคงเป็นที่ตัวผมเองมากกว่า) ได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง นอกเหนือจากความสนุกสนาน มีบทพูดหรือประโยคที่เป็นคติสอนใจ มีคุณค่าน่าจดจำ จากหนังและละคอนหลายเรื่อง แต่ผมก็ไม่เคยจดบันทึกไว้ซักครั้ง พอไม่นานก็ลืม

จะมารู้ตัวและนึกถึงได้อีกทีว่าเราประทับใจ ก็เมื่อประสบกับเหตุการณ์บางอย่าง แล้วมันปรากฏขึ้นมาเอง ซึ่งมีอยู่ประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก อาจเป็นเพราะฉากนั้น ยังติดตาอยู่จนทุกวันนี้ คือ ลูกผู้ชายแม้ยามเจ็บปวดที่สุด ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ จากละคอนทีวีฮ่องกงเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ติดตาม แค่บังเอิญผ่านตาเท่านั้น แต่จำได้แม่นมาก เพราะพ่อของผมเองเป็นภาพที่ชัดเจนมากที่สุดสำหรับประโยคเท่ห์ประโยคนี้

ทำสิ่งที่ยากที่สุดก่อน นั่นคือการให้อภัยตัวเอง
ป้าของปีเตอร์พูดกับหลานตัวเอง หลังจากปีเตอร์ได้บอกว่าตัวเขาไม่พร้อม และทำผิดกับแมรี่เจนไว้ เมื่อป้าถามถึงเรื่องการนำแหวนไปขอแมรี่เจนแต่งงาน ผมเห็นด้วยกับป้าที่ว่านั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดจริงๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราทำสิ่งผิดพลาด แล้วเป็นผลทำให้คนที่เรารักต้องเสียใจ

บล็อก Spiderman 3 มุมมองทางจิตวิญญาณที่น่าสนใจ พูดถึงสิ่งที่ได้จากการดูหนังเรื่องนี้ไว้มากมายหลายฉากครับ

การให้อภัยเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อให้อภัยตัวเองได้แล้ว ก็อย่าลืมให้อภัยคนรอบข้างด้วยนะครับ

Thursday, May 17, 2007

มองข้ามตัวเอง

มนุษย์เราส่วนใหญ่เวลาที่ตัวเองมีความทุกข์ ผิดหวัง เสียใจ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ช่วงนั้นวิสัยทัศน์มักจะพิการมองไม่เห็นใคร หรือสิ่งใดรอบๆ ตัวเองเลย โลกทั้งโลกมีแต่ตัวเองคนเดียว จะพบปะพูดคุยกับใครก็ได้แต่ตัดพ้อ ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ที่ช่างโชคร้ายอย่างนี้ ไม่มีชีวิตใครลำบาก หรือเลวร้ายกว่าฉันอีกแล้ว ใครเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ซักวันก็คงฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เป็นบ้า

นั่นเป็นเพราะเราไม่พยายามมองออกไปในโลกให้กว้างๆ มองคนอื่นเขาบ้าง มองข้ามตัวเองซะบ้าง เรารู้หรือว่าคนที่เราเห็น ไม่ได้ฟูมฟายทุรนทุรายอย่างเรา เขาจะไม่ได้ลำบาก หรือกำลังทุกข์ใจ เสียใจ มากกว่าเรา คนที่มีอวัยวะครบ 32 ที่เราๆ เห็นกันทุกวันนี้ อาจจะเป็นคนใจพิการก็ได้จริงมั้ยครับ


ทำไมเขียน: เพราะดูรายการดิไอคอน วันที่ 11 พ.ค. 50 แขกรับเชิญ คือ คุณสมชาย ดวงแก้ว นักกีฬาพิการ นักว่ายน้ำทีมชาติไทย พาราลิมปิกส์ ไม่มีแขนทั้ง 2 ข้าง มีขาซ้ายเพียงข้างเดียวตั้งแต่เกิด

Wednesday, May 16, 2007

Dhamma Drama

วันนี้ "ชมรมสบายใจ" ที่ทำงานได้นิมนต์พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโตและทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่ มาเทศน์ให้ฟังในหัวข้อ "ทักษะชีวิตกับการทำงานอย่างมีความสุข" สำหรับพระมหาสมปองคงไม่ต้องอธิบายกันมาก ท่านเป็นพระนักเทศน์ชื่อดังแห่งยุคนี้ คนส่วนใหญ่ที่เข้าฟัง คาดหวังจะได้ฮาสุดๆ กับมุขของท่านที่มีล้นเหลือ เหนือกว่าดูตลกค่าเฟ่ซะอีก แต่ก็สอดแทรกพระธรรมคำสอนดีดีมากมาย ผมเองก็คาดหวังไม่ต่างจากนั้น


เสียดายที่พระอาจารย์มีเวลาเทศน์ให้พวกเราฟังไม่ถึงชั่วโมง เพราะมีคิวต้องเดินทางต่อ รับนิมนต์อีกงานหนึ่งไว้ที่พัทยา แต่ช่วงเวลาที่ได้ฟังท่านเทศน์ ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับมุขสุดฮาความถี่สูง นาทีละกว่า 4-5 มุข ถ้าเปรียบกับดูหนัง ผมคิดว่ายังขาดตอนจบ เพราะเท่าที่เห็นท่านในรายการทีวีหลายๆ รายการ ก็ยังไม่ชัดเจนนัก ไม่เป็นไร ถ้ามีโอกาสคงได้ติดตามท่านต่อไป แต่ท่านก็ได้ส่งไม้ต่อให้พระมหาชัยรัตน์ หนึ่งในทีมงานธรรมะเดลิเวอรี่ ที่ท่านปั้นขึ้นมา ซึ่งเทียบชั้นกันก็ยังห่างกับพระมหาสมปองอยู่โขนัก แต่ฉายแววดีอนาคตไกลแน่นอน

ฟังพระมหาสมปองทำให้ผมนึกถึงยุคของตลก โน้ต เชิญยิ้ม ซึ่งผมว่าเป็นตลกคนแรกที่เปลี่ยนยุคของตลก จากฮาด้วยกายภาพเป็นฮาด้วยวาจาพรั่งพรู

เหตุที่มาเขียนถึงเรื่องนี้ "ธรรมะดราม่า" ก็เพราะว่าตอนท้ายของการบรรยายจบด้วยเรื่องพระคุณแม่ ที่ทำเอาผู้ฟังส่วนใหญ่น้ำตาไหลพราก (ผมแค่น้ำตาซึม) แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงที่นั่งด้านหน้าและด้านข้างผมหลายๆ ท่าน ทำให้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าผู้ชายก็อ่อนไหวไม่แพ้ผู้หญิง(โดยเฉพาะเรื่องแม่) สมัยเรียน ปวส. ที่สถาบันฯ เคยมีหลักสูตรบังคับให้ไปอบรมธรรมะที่วัดสวนแก้ว 3 วัน 2 คืน โดยคืนสุดท้ายก่อนกลับผมก็เคยเจอมุขพระคุณแม่มาแล้ว ตอนนั้นนักศึกษาร้องไห้กันโฮ ด้วยลีลาและถ้อยคำการเทศน์ประกอบดนตรี (เพลงสวดมนต์ที่ทุกวันนี้ผมยังหาไฟล์ไม่ได้ เป็นทำนองแขกๆ หน่อย ...พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ...) ของพระอาจารย์พยอมกัลยาโณ แต่คราวนี้เป็นการนำเสนอด้วยเรื่องความรักความกตัญญูของในหลวงที่มีต่อสมเด็จย่า พาเข้าสู่เรื่องพระคุณแม่ ประกอบเพลงและดนตรีซึ้งๆ หลายคนรวมทั้งผมก็อินสุดสุดนะครับ

ผมแวบคำว่า "Dhamma Drama" ขึ้นมาในทันใดนั้น ทำไมคนเราติดละคอนได้เหนียวแน่นหนึบ มีอารมณ์ร่วม หัวเราะ ร้องไห้ ให้กับตัวละคอนได้มากและจริงจังขนาดนั้น ธรรมะสมัยนี้ก็ต้องใช้วิธีเดียวกัน จึงจะเข้าถึงประชาชนได้ แล้วที่ทำให้คนดูคนฟังติดได้มากที่สุดทุกเพศทุกวัย คือ ตลกกับซึ้งสะเทือนอารมณ์ และก็เพราะว่าวิธีนี้ทำให้คนเราเป็นพระเอกนางเอกในละคอนของชีวิตตัวเองได้ทุกคน


แต่ทำอย่างไรจะให้อารมณ์ซึ้งกินใจกับธรรมะ อยู่กับพวกเราอย่างต่อเนื่องและตลอดไป สังคมของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้จะได้เห็นทางสว่าง และเดินสวนทางกับที่เป็นอยู่

แหล่งข้อมูลที่เนื้อหาสัมพันธ์กัน: ‘ธรรมบันเทิง’ เปลี่ยนโรงละครเป็นวัด

Tuesday, May 15, 2007

ผู้นำคือผู้สร้างแรงจูงใจ

หนังสือประเภท how-to สร้างแรงจูงใจส่วนบุคคลเท่าที่เคยได้อ่านมา ผมว่าเล่มนี้อ่านแล้วได้เนื้อเน้นๆ ที่สุด ตรงประเด็น โดนใจ สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ชื่อหนังสือ "กล้าเปลี่ยนแปลง" ผู้แต่ง "ณรงค์วิทย์ แสนทอง" คุณณรงค์วิทย์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ที่มากความรู้และประสบการณ์ (มีหนังสือที่น่าอ่านอีกหลายเล่ม)


ผมคงจะไม่นำเนื้อหาในหนังสือมาพูดที่นี่ เพราะรายละเอียดมีมากพอสมควร แต่แนะนำอย่างยิ่งว่าถ้ามีโอกาสลองหาอ่านให้ได้นะครับ

สมัยที่ทำงานเป็นลูกน้อง ผมไม่ค่อยมีปัญหากับการจัดการตัวเองเมื่อเกิดอาการเฉื่อยชา เพราะสาเหตุของการขาดแรงจูงใจทุกครั้งของผม มักจะมาจากเรื่องคนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเลย โดยเฉพาะถ้าเกี่ยวข้องกับหัวหน้า(ย้ำนะครับว่า "เกี่ยวข้อง" ไม่ใช่ "จาก") ส่วนใหญ่จะเป็นการเสนอทางแก้ปัญหา(ที่ต้องลงทุน) แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนอง ทางออกสำหรับผมก็คือ ทำใจและปล่อยวางให้ได้ว่ามันไม่ใช่ปัญหา เพราะหัวหน้าไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เราก็ต้องตามหัวหน้าล่ะครับ

วันนี้ได้มีโอกาสมาเป็นหัวหน้าและก็ยังเป็นลูกน้องด้วยในเวลาเดียวกัน เข้าใจหัวหน้ามากขึ้นครับ(แต่ไม่ทุกคน) ถ้าผมยังมีอาการขาดแรงจูงใจอยู่ ลำพังตัวคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่นี่เรามีลูกน้องต้องดูแล โดยเฉพาะเรื่องการสร้างแรงจูงใจ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับการเป็นหัวหน้าคน หัวหน้าหมดไฟ ลูกน้องก็มอดไหม้เป็นขี้เถ้าไปก่อนแล้วครับ

ผมคิดว่าคนที่สามารถสร้างแรงจูงใจคนอื่นได้ดี ก็เป็นผู้นำที่ดีได้ครับ แต่คนแบบนี้คงหาได้ไม่ง่ายนัก ลองถามตัวเองดูสิครับว่าสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเองได้ดีแค่ไหน

ผู้เสียสละทิ้งขยะไม่ลงถัง

เป็นเรื่องที่อยู่ในความทรงจำมานานกว่าปีแล้ว จำได้ว่าเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ใน internal blog ของที่ทำงาน ตั้งแต่สมัยที่ blog ยังไม่บูมในประเทศไทย ผมเป็นผู้ติดตั้งและดูแลระบบ blog นั้นเอง (ติดตั้งเอง เขียนเนื้อหาเอง และอ่านเองในช่วงแรกๆ)

จำได้ว่าไปอ่านเจอเรื่องเล่าของนักศึกษาคนหนึ่ง ที่กำลังจะไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ระหว่างที่รอเพื่อนอยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพงอยู่ซักพักใหญ่ ก็หยิบเอาบุหรี่ออกมาสูบแก้เซ็ง ชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่งเข้ามาขอต่อบุหรี่ แล้วก็ยืนสูบอยู่ไม่ไกลกัน สูบได้ซัก 2-3 ปื้ด ก็โยนบุหรี่ครึ่งมวนที่เหลือทิ้งลงพื้น แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้กระทั่งจะใช้เท้าเหยียบบุหรี่เพื่อดับไฟ นักศึกษาหนุ่มนึกตำหนิชายคนนั้น พร้อมกับเดินเข้าไปเหยียบบุหรี่มวนนั้นเพื่อดับไฟ เค้านิ่งไปสักครู่เดียวก็ก้มลงไปหยิบเศษบุหรี่ นำไปทิ้งที่ถังขยะ


การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทเป็นกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่ช่วยฝึกให้เยาวชนรู้จักเสียสละเพื่อสังคม เพื่อคนในชนบท เค้าจะได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เสียสละ ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ชีวิตที่ผ่านมา เค้าเคยทิ้งขยะโดยเฉพาะก้นบุหรี่ลงถังขยะนับครั้งได้ ที่ไม่ลงถังนับครั้งไม่ถ้วน เค้าถามตัวเองว่า "นี่หรือปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเสียสละไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท? แต่แค่ทิ้งขยะให้ลงถังยังทำไม่ได้"

ตั้งแต่วันนั้นมาหลังจากผมได้อ่าน(และเขียน)เรื่องนี้จากอินเทอร์เน็ต ผมก็ไม่เคยโยนขยะแม้แต่ตั๋วรถเมล์ทิ้งตามท้องถนน ริมฟุตบาท เหมือนที่เคยทำอีกเลย เพราะผมไม่อยากเป็นผู้เสียสละทิ้งขยะไม่ลงถัง

บางคนเคยบริจาคเงินแสนเงินล้าน เพื่อช่วยผู้ประสบภัย แต่คนรับใช้ที่บ้านไม่เคยได้ให้โบนัส

บางคนพาแฟนไปทานอาหารในภัตตาคารเลิศหรู แต่ขนมหวานติดมือกลับบ้านฝากพ่อฝากแม่ไม่เคยมี

บางคนเป็นเจ้านายที่แสนดี แต่ไม่เคยมีเวลาไปรับส่งลูกที่โรงเรียนซักครั้ง

Saturday, May 12, 2007

ลดน้ำหนัก...ถวายเป็นพระราชกุศล



วันก่อนมีโอกาสได้เห็นโฆษณาในทีวี ของสถาบันลดน้ำหนักสำหรับคุณผู้หญิงแห่งหนึ่ง ดูเผินๆ แบบไม่ได้ตั้งใจก็งั้นๆ แต่บังเอิ๊นบังเอิญไปสะดุดประโยคหนึ่งที่ว่า "ลดน้ำหนัก ถวายเป็นพระราชกุศล" แหม! คันปากยิบๆ ขึ้นมาทีเดียว (เลยต้องมาระบายที่นี่ซะ) อยากเห็นหน้าครีเอทีฟ เจ้าของประโยคในโฆษณาชุดนี้จริงจังครับพี่น้อง เจอตัวเมื่อไหร่จะพนมมือท่วมหัว สาธุ!

คนไทยเรายุคนี้สมัยนี้ จะทำอะไรดีดีซักอย่าง แม้เพื่อสุขภาพของตัวเอง ยังต้องอ้างฟ้าอ้างดิน ไม่เท่าไหร่ นี่จะอ้างไปถึงพระมหากษัตริย์ คนที่เป็นอย่างนั้น อย่าอยู่ต่อไปเลยครับ อายสุนัขเค้า

SlideShare

เว็บไซต์ที่เข้าไปดูบ่อยที่สุดในตอนนี้ (นอกเหนือจากข่าว) ก็คือ SlideShare แนะนำให้สมควรเข้าไปเป็นอย่างยิ่ง มี presentation ดีดีมากมายครับ


อย่างเช่น presentation นี้ ทำให้มองเห็นภาพชีวิตของคนไอทีในยุค Web 2.0 ได้ดีทีเดียว

Friday, May 11, 2007

ผู้ทรงอิทธิพล

ผมมีความเชื่อว่าผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของชีวิตก็คือตัวเราเอง เพียงแต่ผู้ทรงอิทธิพลของใครจะเจ๋งกว่ากัน เท่านั้นเอง

ปล.กำลังอยากศึกษาชีวประวัติของ Che Guevara อย่างละเอียด เพราะตอนนี้เบื่อทุนนิยมอิ๊บอ๋ายเลย (เข้าข่ายพวกผลประโยชน์ไม่เคยลงมาทับซ้อน)