Tuesday, November 13, 2007

ตัวชี้วัดธุรกิจ

ข่าวเศร้าเช้านี้ -- ผู้รับเหมางานสร้างอุโมงค์ลอดถนนตรงสี่แยกแคราย จะเริ่มเข้าดำเนินการต้นเดือนธันวาคมที่จะถึง ปัจจุบัน การจราจรบริเวณนี้ ก็สาหัสสากรรจ์แทบจะตลอดทั้งวันอยู่แล้ว ถึงตอนก่อสร้าง นึกภาพไม่ออกเลย แต่คงได้แค่บ่น และทนต่อไป ยังไงก็คิดซะว่า เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหานะ ชีวิตมีทางเลือกไม่มากนักหรอก

จากการประชุมบ่ายถึงเย็น ช่างตอกย้ำสิ่งที่ฝังอยู่ในหัวของผมช่วง 4-5 ปีมานี้ ให้หนักแน่นมากเข้าไปอีก -- องค์กรธุรกิจ ต้องการกำไร ตัวชี้วัดที่มีนัยมากที่สุด คือ bottom line ถ้า bottom line ผ่าน ค่อยมาชี้มาวัดเรื่องอื่นต่อไป แต่เป็นหัวหน้า เป็นผู้จัดการ เป็นผู้นำ การสื่อและแสดงออกถึงความจริงข้อนี้กับลูกน้อง แบบเถรตรงเกินไป เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง แม้จะจริงเข้าไส้ซะขนาดไหนก็ตาม

ปีนี้ขาดทุน ปีหน้าต้องกำไร ปีนี้กำไรน้อย ปีหน้าต้องกำไรมาก ปีนี้กำไรมาก ปีหน้าต้องกำไรมากกว่า เรื่องธรรมาภิบาล องค์กรแห่งการเรียนรู้ แม้สำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องรอง -- ผมเห็นด้วยและยอมรับโดยสดุดี แต่ขอโทษที ไม่มีหัวทางบัญชี ก็บริหารจัดการได้ยาก เห็นทีจะเป็นอีกศาสตร์ที่ต้องทำความเข้าใจ ไม่อย่างนั้น จะมองสถานภาพโดยรวมของธุรกิจไม่ออก ตัวเลขทางบัญชี ถือเป็นตัวชี้วัดที่สากลที่สุด

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงระหว่างนั่งอยู่ในห้องประชุม ก็คือ บทความ เรื่องการวัด การประเมิน (อีกแล้ว) จากบล็อก beyondKM ของ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้ สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) -- ต้องขออนุญาตยกตอนท้ายมาไว้ที่นี่ด้วยครับ (โดนใจ)

แต่พอมีการวัดประเมินผลจริงๆ ปรากฏว่าผู้บริหารส่วนใหญ่ก็ยังสนใจอยู่กับผลลัพธ์ในเชิงรูปธรรมอยู่ดี แล้วนี่จะทำอย่างไร? ....ปากก็พูดไปว่าจะใช้หลักการใหม่นี้ ทั้งๆ ที่ความต้องการ (ในใจ) กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม สัจจธรรมที่ผมได้ในเรื่องนี้ก็คือ ....“วัดอะไรย่อมได้สิ่งนั้น”

มันไม่สำคัญหรอกครับว่าท่านผู้บริหารจะพร่ำพูดหรือเน้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ถี่สักเพียงใด เพราะว่าถ้าปากกับใจของท่านนั้นไม่ตรงกัน คนทำงานเขารู้ได้ครับว่าแท้จริงแล้วท่านผู้บริหารสนใจอะไร? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลอกกันไม่ได้หรอกครับ ... เจ้านาย!!

นอกจากนี้ มีสิ่งที่ได้อย่างหนึ่ง คือแนวทางการเอาชนะอุปสรรค ข้อจำกัด ที่ผมกำลังประสบอยู่ และที่สำคัญมากคือ แววตา ซึ่งแสดงออกถึงความเข้าใจในตัวลูกน้อง (ผมเชื่ออย่างนั้น)

No comments: