Monday, December 31, 2007

The End of Y2007

สรุปภาพรวมของปี 2007 ที่ผ่านมา

  • งาน ความพยายามสูง ความสำเร็จต่ำ เป็นเพราะทำสะเปะสะปะ ไร้ทิศทาง แต่ได้แง่คิดกับชีวิตเยอะ สำเร็จที่แท้จริง ก็คือประสบการณ์ที่ได้
  • ความรัก ครอบครัว เวลาที่ให้ทางฝั่งบุพการี เบาบางลงไป เพราะมาหนักทางฝั่งทายาท เมียและลูก ซะเยอะ แต่ความผูกพันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
  • เศรษฐกิจ การหล่อเลี้ยงชีวิตขั้นพื้นฐานสบายมาก แต่ไม่เพียงพอสำหรับกิเลส อารมณ์ และความอยาก รวมทั้งบางอย่างที่ไม่มีทางเลือก เช่น โรงเรียนอนุบาล
  • สังคม ปฏิสัมพันธ์นอกครอบครัว (ยกเว้น online) เรียกได้ว่าแทบไม่มีเอาเลย แค่งานกับคนที่รัก ก็ไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว
  • สุขภาพ ยกให้ปี 2007 นี้ เป็นปีแห่งสุขภาพทรุดโทรม เพราะป่วยง่าย ป่วยบ่อย ป่วยนาน ป่วยหนัก ครบทุกรสของอาการป่วยไข้

สำหรับ แผนปี 2008 ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก มีอย่างเดียว คือทำงานเยอะๆ เก็บเงินไว้มากๆ เพื่ออนาคตของลูกคิด ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในทุนนิยม อีกนานแสนนาน อ้อ! สำหรับอีกเรื่อง ก็คือดูแลรักษาสุขภาพให้ดีขึ้น เพราะเครื่องจักรยังต้องใช้งาน -- ชีวิตคนเมือง สังคมชนชั้นกลาง มันจะมีอะไรมากกว่านี้..

แต่ผมยังทำหน้าที่ ตามสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย อย่างตั้งใจ ด้วยสมอง คิดและไตร่ตรองเสมอ -- ไม่ใช่คนชั้นกลาง ที่เอาแต่ได้ถ่ายเดียวนะครับ

อ้อ (อีกครั้ง)! กะว่าจะยกเลิก Hi-Speed Internet ที่บ้าน (รอครบรอบสัญญา ไม่ให้โดนปรับค่า modem) จะได้มีเวลาให้กับครอบครัว และตัวเองมากขึ้น

ปล. วันหยุดฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ยังป่วยหนัก ไข้หวัดลงคอ ทิ้งท้ายซะอีก เฮ้อ!

Thursday, December 27, 2007

เหมือนหรือต่าง..สำคัญ?

บรรยากาศสังคมและบ้านเมืองเราในช่วงเวลานี้ ดูช่างขัดแย้ง แบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน โดยนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สื่อหลักที่ว่าถูกครอบงำ(?) และสื่อใหม่ที่ว่าเปิดกว้าง(?) ส่วนตัวผมกลับรู้สึกโดยเบื้องต้นว่า อะไรที่มันยิ่งกว้าง จะยิ่งอ้างว้างห่างเหิน -- อุปมาอุปมัยเหมือนดั่ง น้ำปริมาณเท่ากัน แต่อยู่ในขวดกับอยู่ในถัง ซึ่งที่จริงน้ำก็ยังคงเป็นน้ำที่มีปริมาณเท่าเดิมอยู่ดี เมื่อมีเศษสิ่งปฏิกูลเพียงนิดเข้ามาเจือปน ก็ทำให้น้ำทั้งหมดนั้นกลายเป็นน้ำเสียไป แยกได้หรือว่านี่น้ำดี นั่นน้ำเสีย เพราะล้วนอยู่ในแหล่งเก็บเดียวกัน

วันนี้มีโอกาสได้อ่านบทความอขันติธรรมแล้ว อยากให้ประชาชนคนไทยทุกคน ได้ลองอ่านแล้วคิดตาม โดยเฉพาะประเด็นการรับฟังความความคิดเห็นที่แตกต่างของ John Stuart Mill ซึ่งต้องขอยกมาแปะไว้อ่านที่นี่ด้วย

ทำไมจึงต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง John Stuart Mill ได้ให้เหตุผลถึงความสำคัญของการรับฟังความเห็นไว้ ดังนี้

ประการแรก ถ้าความเห็นที่ต่างออกไปเป็นความเห็นที่ดีกว่า หรือเป็นความเห็นที่ถูกต้อง การ
ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงออก หรือการไม่ยอมรับฟังในสิ่งไม่เหมือนกับความเชื่อของตน
ก็เท่ากับจะเป็นการปิดกั้น และทำให้สังคมเสียโอกาสในการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ควร
จะดีขึ้นจากความเห็นนั้น

ประการที่สอง แต่ถ้าความเห็นซึ่งแตกต่างออกไปเป็นสิ่งที่ผิด การไม่อนุญาตให้เสียงนั้นได้มีโอกาสพูด จะทำให้เกิดผลในด้านลบหรือไม่

สำหรับ Mill แล้ว แม้ความเห็นที่ต่างออกไปนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วอาจเป็นสิ่งที่ผิดพลาด แต่ก็ยังควรเปิดพื้นที่ให้สำหรับเสียงนั้น เพราะจะเป็นการตั้งคำถาม และทำให้เกิดการถกเถียงต่อความคิดที่ถูกยึดถือไว้ว่าเพราะอะไร หรือมีเหตุผลเช่นไร ที่ทำให้ความคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับ

ความเห็นที่แม้ผิดก็จะเป็นเสมือนเครื่องมือในการตรวจสอบ และไม่ทำให้ความเชื่อของสังคม
กลายเป็น dead dogma หรือหลักการที่ถูกเคารพโดยปราศจากความเข้าใจจากผู้คน

ประการที่สาม ในความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่บังเกิดขึ้น ความคิดหรือหลักการหลายอย่าง
ไม่ได้เป็นเรื่องของความคิดใหม่มาแทนที่ความคิดเก่า ความถูกต้องมาแทนความผิดพลาด
หากเป็นผลมาจากการเสริมแต่งจากความเห็นหลายด้าน หลายมุม ความเห็นหนึ่งอาจมีข้อดี
และข้อเสียบางอย่าง ความเห็นอื่นอาจมาช่วยเสริมหรืออุดจุดอ่อนของอีกความเห็นหนึ่ง และ
นำไปสู่การสร้างหลักการใหม่ขึ้นโดยประกอบมาจากหลากหลายความเห็น

การยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างจึงเป็นหนทางของการพัฒนาความคิดใหม่ ที่ต่อยอดไปจาก
ฐานความรู้ที่มีอยู่เดิมได้เช่นกัน

ที่สำคัญเป็นประเด็นซึ่งผู้เขียน (สมชาย ปรีชาศิลปกุล) ได้ให้ไว้ และผมก็เห็นด้วยคือ
ความแตกต่างทางความคิดไม่สำคัญเท่ากับว่า เราจะเผชิญกับความแตกต่าง
นั้นอย่างไร -- เป็นเรื่องที่สังคมไทย (รวมถึงสังคมโลก) ควรตระหนักให้มากที่สุด


ที่มา: มติชน วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10418

Tuesday, December 25, 2007

ของขวัญ

ช่วงใกล้สิ้นปีอย่างนี้ บางครั้งบางปีผมจะรู้สึกสดชื่น ครึกครื้น รอเวลาค่ำลงก็ตั้งวงฉลอง แต่บางปี อย่างเช่นปีนี้กลับรู้สึกเหงาๆ ซึมเซายังไงไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร ถึงอย่างนั้นที่ไม่เคยเปลี่ยน ก็คือค่ำลงตั้งวงเหมือนกัน

อารมณ์เหงาๆ ช่วงสิ้นปีอย่างนี้ ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนสมัยเรียน ปวช. คนหนึ่งชื่อ 'อ่าง' ตอนปีสามเทอมสอง ช่วงปลายเดือนธันวา อาจารย์ไม่อยากเข้าสอน นักศึกษาก็ไม่อยากเข้าเรียน แน่นอนว่ายังไงก็ต้องมารวมตัวกันที่สถาบันฯ ก่อน แต่ผมปฏิเสธที่จะร่วมก๊วนกับเพื่อนเด็กเฮ้ว (สมัยนั้นใช้คำนี้) ไปเต็ดเตร่ เหล่สาวๆ ตามห้างสรรพสินค้า เหมือนที่ทำมาสองปี จะเข้าห้องสมุดก็เบื่อ เพราะทำมาทั้งปี ครั้นจะกลับบ้านก็เร็วเกินไป เลยนั่งพ่นอารมณ์เฉื่อยๆ บูดๆ ที่ม้าหินหน้าตึกคนเดียว

นั่งอยู่พักใหญ่ ผมเห็นไอ้อ่าง เดินลงจากสะพานข้ามคลองมาคนเดียว (คง)กลับจากห้องสมุดวิศวะฯ ตามฟอร์ม มันตรงมายังม้าหินที่ผมนั่งอยู่ ทิ้งสัมภาระลง แล้วก็ทิ้งก้นลงนั่งที่ฝั่งตรงกันข้ามกับผมโดยไม่พูดอะไร หยิบหนังสือที่ยืมจากห้องสมุด ออกมาจากกระเป๋า พลิกหน้าหนังสือกลับไปกลับมา แป๊บเดียวก็เก็บหนังสือเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม แล้วเอ่ยว่า "ไปและ" (เออ! ดีวุ้ยพูดปุ๊บจะไปปั๊บ) แล้วพูดต่อ "ไม่ไปไหนเหรอ"

ผมตอบกลับไปแบบหมดอาลัยตายอยาก "ไม่รู้จะไปไหนอ่ะ เบื่อๆ" ไอ้อ่างเลยชวนไปเดินราชดำริกับมัน ตอนนั้นเล่นเอาผมงงไปจิ๊ดนึง เพราะปกติมันเด็กเรียนฉิบเป๋ง ไหงคราวนี้ดันชวนเราไปแหล่งช้อปปิ้งเฉยเลย แต่ก็ใจง่ายตอบตกลงไปโดยไม่คิดมาก เราพากันนั่งรถเมล์ไปไม่นานก็ถึง ระหว่างทางผมถามอ่างว่า จะมาทำอะไรที่ราชดำริ มันบอกว่าจะหาซื้อของขวัญปีใหม่ให้ตัวเองซักชิ้น เออวะ! ไอ้อ่างมันต่างกับวัยรุ่นทั่วไปเยอะนัก ส่วนใหญ่อยากได้อะไรตอนไหน ก็ซื้อทันที ถ้ามีตังค์ (ผมก็ด้วย แต่ส่วนใหญ่ผมไม่มีตังค์ง่ะ) แต่เรื่องของขวัญนี่มักจะเป็นซื้อให้คนอื่นซะมากกว่า

อ่างบอกว่ามันชอบซื้อของชิ้นใหญ่(หมายถึงราคาสูง) ที่อยากได้แค่ปีละชิ้นเท่านั้น เพราะต้องเก็บเงินมาทั้งปี โดยไม่ได้ใช้อะไรเกินไปกว่าค่าเทอม ค่ากิน ค่าหนังสือ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเรียน พูดง่ายๆ คือมันไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทั้งๆ ที่พ่อแม่มันเข้าขั้นมีฐานะพอสมควร ปีนี้ มันได้นาฬิกาข้อมือสปอร์ตมาเรือนหนึ่ง บวกกับเลี้ยงข้าวบ่ายผมหนึ่งอิ่มอร่อย -- เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว ที่ผมไปเดินเที่ยวกันสองต่อสองกับอ่าง

ตอนนั้น ผมรู้สึกว่า เออ! อ่างมันเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเยอะเลย จะไปไหนมาไหน จะทำอะไรคนเดียวเสมอ ไม่ต้องมีแนวร่วม ไม่ต้องมีคู่หู ไม่เห็นมันจะเคยเหงา ซึมเซา หรือหดหู่ ไปตามบรรยากาศข้างในหัวใจเหี่ยวๆ อย่างที่ผมเป็นเลย -- นี่เลยเป็นที่มาว่า ส่งท้ายปีเก่าปีไหน ที่เกิดอาการเซ็งๆ เบื่อๆ ผมจะคิดถึงเพื่อน 'อ่าง' ขึ้นมาบ่อยๆ ซึ่งก็พอทำให้สดชื่นขึ้นได้มากทีเดียว

นั่งบ้าๆ เอ๋อๆ อยู่คนเดียวก็มีความสุขสดชื่นได้ฟะ บางครั้งการมีเพื่อนฝูงห้อมล้อมมากมาย ยังไม่อาจทำให้หายเหงาได้ ท่านว่าจริงมั้ยคร้าบ

ทุกวันนี้ได้ข่าวว่า ไอ้อ่างมีเมียมีลูกไปแล้ว แถมแต่งงานเป็นคนแรกของห้องซะด้วย (เราไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว)

สองสามปีมานี้ ไม่เคยนึกออกเลยว่า ตัวเองอยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่ ไม่รู้สึกว่าวัตถุสิ่งของอะไร จะมาเติมเต็มชีวิตผมได้ (ทั้งๆ ที่ยังเป็นหนี้อยู่หลายแสนบาท)

Saturday, December 22, 2007

น้า..กัลยาณมิตร

"ศาสนาพุทธเป็นตรรกะ เป็นลอจิก และเป็นวิทยาศาสตร์"

"อย่างคุณมีลูก ถ้าไม่อยากเป็นพ่อแม่รังแกฉัน เลี้ยงลูกต้องขัดใจ ทำไมรู้มั้ยครับ อะไรที่ขัดบ่อยๆ แล้วเป็นยังไง มันก็สะอาด ใช่มั้ยครับ"

"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับจิต คนเราจะสุขหรือทุกข์ ก็อยู่ที่ใจ ผมขับแท๊กซี่ ถามผมเหนื่อยมั้ย ผมไม่เหนื่อย เพราะอะไร เพราะผมขับรถ ผมมีความสุข ใช่มั้ยครับ"

"จิตของคนเราไม่เคยอยู่นิ่ง เปรียบไปก็เหมือนลิง ยิ่งได้ยิน ได้ฟัง ได้พูด อยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้จิตรุกรี้รุกรน เพราะฉะนั้น ถ้าปิดหู ปิดตา และปิดปากซะบ้าง ก็จะทำให้จิตนิ่งสงบ มันเป็นกระบวนการ มีอินพุตก็มีเอ๊าพุต ถ้าเราหยุด ไม่ใส่อินพุตเข้าไป เอ๊าพุตมันก็ไม่มี ใช่มั้ยครับ"

"พุทธอย่างคนไทยเรา มันเป็นพุทธไม่เต็ม ศาสนาพุทธท่านสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา แต่ทุกวันนี้ มันมีแต่ศีล สมาธิ แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญญา บ้านเมืองถึงได้วุ่นวายอย่างนี้ไง ใช่มั้ยครับ"

"อะไรที่เจ้าชายสิตธัตถะละทิ้ง แต่พระสงฆ์องค์เจ้าในบ้านเรา กลับแสวงหา พระพุทธเจ้าท่านละทิ้งวังไปอยู่ป่า แต่เจ้าอาวาสหรือพระดังๆ บ้านเรา พยายามจะสร้างวัดให้เป็นวัง ใช่มั้ยครับ"
..

วันนี้ผม ภรรยา แม่ยาย ลูกคิด และป้ากระแต (เพื่อนบ้าน) มีโอกาสได้ไปกราบไหว้สักการะ พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุของพระอรหันต์ ที่อิมแพค อารีน่า (พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้าย แต่เห็นว่าช่วงสิ้นปี จะมีอีกที่บริเวณโลหะปราสาท แถวถนนราชดำเนิน) ลำพังตัวผมเอง วันเสาร์เป็นวันหยุดวันแรก หลังจากล้ากับงานมา 5 วัน ถ้าไม่ได้มีความตั้งใจมาก่อน จะไม่อยากออกไปไหน คราวนี้ก็ยอมไปแบบหยวนๆ เฉยๆ เพราะรู้ว่าคนต้องเนืองแน่นมหาศาล

ในงานเป็นการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุของพระอรหันต์หลายองค์ มาให้ประชาชนชาวไทย ได้กราบไว้สักการะ เพื่อเป็นสิริมงคล เค้ามีบอกด้วยว่า มีโอกาสกราบไหว้ 1 ครั้ง แล้วจะดียังไง 2 ครั้ง 3 ครั้ง จะดีแบบไหน ไปจน 8 ครั้ง 9 ครั้งนั่นแหละ (เอาเถอะ! สำหรับคนอย่างผม แค่ครั้งเดียว ก็ดีกับตัวเองมากล้น) -- แต่วัตถุประสงค์ของงาน เข้าใจว่าเพื่อหาเงินรายได้ ทูลเกล้าถวายเป็นพระราชกุศล แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ความรู้สึกกับบรรยากาศในงาน ผมชิลๆ นะ คนที่มากันมากมาย ส่วนใหญ่ดูจะมาเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง เชื่อว่าบางคนอาจจะมาทุกวันตั้งแต่วันแรกๆ 8-9 ครั้ง -- สุดท้ายก็หวังแค่ว่า กราบไหว้สักการะแล้วชีวิตตัวเองจะดีขึ้นได้ ผมเองแม้ไม่ได้ปรีดาซักเท่าไหร่กับสิริมงคล แต่ที่ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะได้ไปด้วยกันกับคนที่เรารักและรักเรามากกว่า

..

คำพูดใน quote ข้างบน เป็นของน้าโชเฟอร์แท๊กซี่คันที่นั่งขากลับบ้าน สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ธรรมะ จะเรียกว่าสอนก็ได้ เพราะแกสุดยอด รู้เยอะมากๆ ที่ยกมานี้เพียงแค่เสี้ยว ซักหนึ่งในสิบได้มั้งที่น้าแกถ่ายทอดให้ฟัง ทั้งเรื่องของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เรื่องของศาสนาพุทธ เรื่องของสงฆ์ เลยเถิดและเชื่อมโยงไปถึงเรื่องสังคมบ้านเมืองก็มี

ผมไม่ปลื้มน้าแกอยู่นิดเดียว ตอนที่แกต่อว่าพระบ้านเราบางรูป บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แต่ยังละไม่ได้ แค่กิเลสหยาบๆ อย่างการเคี้ยวหมาก คือว่า แกดูมีอารมณ์ร่วมมากไปนิด ไม่นิ่ง ถ้าแกนิ่งนะ ผมคารวะแกหมดใจเลย ให้ตายสิ

ความรู้ทางธรรมมากมายที่น้าแกให้ ผมรู้สึกได้ว่า แกคงศึกษามาเยอะและลงลึกในรายละเอียดสุดสุด ยังแอบแซวๆ ว่า "พี่ ผมขอนามบัตรหน่อยสิครับ มีโอกาสจะได้โทรมาคุยด้วย" แถมบอกด้วยว่า ผมคงต้องเอาเรื่องที่ได้คุยกับแกวันนี้ เขียนบล็อกแน่ๆ (แล้วผมก็เอาแกมาบันทึกจริงๆ)

ณ ตอนนั้น สิ่งที่แกพูดผมเองไม่ได้เชื่อทั้งหมด แต่สำคัญที่หลายสิ่งหลายอย่าง น้าแกได้ทำให้ผมได้เก็บมาคิดมากมาย

ทั้งๆ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคชะตา แต่คราวนี้ผมคงต้องบอกว่า มันคงเป็นโชคชะตาที่ทำให้ได้ผมมาพานพบกับน้าคนขับแท๊กซี่ชื่อ... นริทธิ์ แต้สุจิ กัลยาณมิตร ผู้ให้ธรรมะ ผู้ซึ่งไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า


ภาพประกอบ: http://www.budpage.com/

ปล. ขออภัยที่เอ่ยชื่อน้านะครับ เนื่องจากเห็นว่าน้าเป็นกัลยาณมิตรตัวจริง เลยอยากเปิดเผยคนดี

Thursday, December 20, 2007

Attitude is Everything

นำ slide นี้มาแปะไว้ เพื่อช่วยช้อนทัศนคติที่กำลังตกต่ำ กลับขึ้นมาซะหน่อย ดูแล้วก็ช่วยได้ดีทีเดียว วันนี้เพิ่งอ่านบทนำ เบื้องบนยังมีแสงดาว ของ วินทร์ เลียววาริณ ที่ตั้งใจซื้อไว้เตรียมจะเป็นของให้ (แอบอ่านนิดหน่อย) คุณวินทร์พูดถึงเรื่อง 10% 90% อันเดียวกันกับภูเขาน้ำแข็งใน slide นี้เลย




ถึงทัศนคติจะแย่ แต่ก็ยังดีที่รู้สึกตัว อย่างนี้ทางพระท่านว่า ยังมีสติ ใช่รึเปล่า (ได้มา 2 ติ)

ที่มา: Slideshare

Wednesday, December 19, 2007

สาย 99

ฤดูทบทวนพิจารณา ผลประกอบการของตัวเองย่างเข้ามาอีกครั้งแล้ว (รู้สึกว่ามาเร็วจริงๆ เหมือนไม่นาน) -- ถ้าหาเหตุจากงาน ส่งท้ายปีเก่าปีนี้ ผมคงก๊งด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยวเฉา แทนที่จะเป็นดริ๊งค์ตามบรรยากาศ เฉลิมฉลอง แบบพี่ไทยทั่วไป (ไอ้เรานะ! เมาได้ทุกสถานการณ์จริงเชียว)

ในแบบประเมิน เพิ่งสังเกตเห็นว่า มีบันทึกจำนวนการเข้างานสายด้วย (เค้าให้เครดิตผมมาเกิน 4 ปีแล้ว) ถูกจับตาดูมา 2 เดือน ตุลา-พฤศจิกา -- แต่ไม่ได้แปลกใจอะไร มันมีเหตุมีที่มา (แต่ยังไม่มีที่ไป) อยากขอโทษฝ่ายบุคคลด้วยซ้ำ เพราะทำให้ต้องลำบากใจ

ขำขำสนุกๆ จากจำนวนสาย 7 ครั้ง เป็นเวลา 692 นาที ดีกว่า ง่ายๆ ก็ค่าเฉลี่ยยังไง 98.8 นาที ต่อครั้ง ปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ 99 (สวยเด่น) สาย 99 ม.ราม-เทเวศร์ (ฮา)

เครียดๆ จริงจัง ด้วยความเป็นธรรม กับการประเมินตัวเองครั้งนี้ ผลลัพธ์คือ 2x% (สาบานว่าจากใจ) อยู่ในช่วง "ควรปรับปรุง" -- คะแนนกลับไม่ใช่ประเด็น ทิศทาง/แนวทางในการปรับปรุงต่างหาก ที่ยังมืดมน วันนี้ตอนนี้ทัศนคติตกต่ำ ขนาดที่สงสัยว่า "พัฒนาการของผมในวันนี้หรือวันหน้า จะมีนัยสำคัญกับบริษัทซักแค่ไหน"

จะเด็ดดอกไม้ยังไง ให้สะเทือนถึงดวงดาวได้หว่า?

(ยังไม่มีผู้ใจบุญ บริจาคน้ำยาล้างสมอง เลยต้องขอนำขยะมาเทไว้ที่นี่ก่อน)

Monday, December 17, 2007

ล้างมือ

ภาษาไทยวันละคำ วันนี้ขอเสนอคำว่า "ไขก๊อก"

ไขก๊อก ประกอบด้วยคำว่า ไข แปลว่า เปิด กับคำว่า ก๊อก ซึ่งเป็นคำทับศัพท์ ภาษาอังกฤษว่า cock แปลว่า เครื่องเปิดปิดน้ำให้ไหลจากท่อ หรือให้หยุดไหล.

ไขก๊อก เป็นสำนวน หมายความว่า เลิก ดำเนินต่อไปไม่ได้ เลิกล้ม ปิดกิจการ หรือ หมดกำลัง เช่น บริษัทที่มาเปิดสำนักงานอยู่ปากซอยเราดำเนินการอยู่ไม่ถึงครึ่งปีไขก๊อกเลิกกิจการไปแล้ว ไหนว่าจะไปเป็นลูกจ้างเขาทำงานได้ไม่เท่าไรไขก๊อกเสียแล้วหรือ.

คำว่า ไขก๊อก สันนิษฐานว่าเป็นสำนวนที่ต่อมาจากสำนวนว่า ล้างมือ ซึ่งมีความหมายว่า เลิกเกี่ยวข้อง ไม่ยุ่งเกี่ยวต่อไปอีก เช่น เขาล้างมือจากวงการเมืองเสียแล้ว. เขาทำให้ฉันเดือดร้อนมาหลายครั้งแล้วจึงขอล้างมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับแม่คนนี้อีกต่อไป. ในการล้างมือ ปรกติต้องใช้ น้ำ จึงเปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลลงมาล้างมือ คำว่า ไขก๊อก จึงกลายมาเป็นสำนวน หมายความว่า เลิก เลิกล้ม เลิกดำเนินการ ปิดกิจการ.

ผู้เขียน ศ. ดร.กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิต ประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย สำนักศิลปกรรม


ในศาสตร์ของการบริหารจัดการ หลักในการประเมินผู้บริหารอย่างง่ายคือ ถ้ามีเท่ากับไม่มี เข้ามาแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นเลย เพียงเท่านี้ก็สรุปจบได้ เมื่อถึงเวลา (สำหรับผม คิดว่าน่าจะนานพอที่จะบอกได้ว่า ควรล้างมือแล้วหรือยัง)

ประเด็นคือ ถ้าไม่บริหารจัดการแล้ว ความรู้ความสามารถทางเทคนิคล้วนๆ ของผม จะคุ้มค่าจ้างมั้ยครับ..เจ้านาย

อ้างอิง: ราชบัณฑิตยสถาน

Friday, December 14, 2007

Boss, If I were you.

"พนักงานไม่ได้ลาออกจากบริษัท แต่พวกเขาลาออกจากหัวหน้างานต่างหาก" ถึงมันจะจริงมาก แต่ผมไม่ค่อยชอบประโยคนี้ ดูมันตัดพ้อ โทษโน่นโทษนี่ ไม่มีสปิริต รวมทั้งโยนบาป เห็นแพะ

คุณณรงค์วิทย์ แสนทอง แนะนำว่าเมื่อหัวหน้าไม่ได้อย่างใจ หรือหัวหน้าห่วย ให้ลองคิดว่า ถ้าตัวเราเองเป็นหัวหน้า จะทำอย่างไร งานแต่ละงาน การตัดสินใจแต่ละครั้ง ที่หัวหน้าเราทำ หรือตัดสินใจลงไป เป็นเราจะทำและตัดสินใจแบบไหน ต่างกันอย่างไร การคิดแบบนี้ เป็นการฝึก เพื่อพัฒนาตัวเองอีกขั้นหนึ่งด้วย เผื่ออนาคตได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นหัวหน้าไง

ส่วนตัวผมคิดว่า เราไม่ควรคาดหวังใครมากนัก (พึ่งตัวเองให้มากที่สุด) แม้แต่หัวหน้า ถึงบทบาทหน้าที่ของหัวหน้า ที่มีที่ควรต่อลูกน้องจะชัดเจนว่า ต้องทำหนึ่งสองสามอะไรบ้างก็ตาม แต่ตัวแปรผกผันที่สุดคือคน เพราะความแตกต่างเป็นพื้นฐานของบุคคล ลักษณะสำคัญขององค์กร คือมีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งต้องชัดลึกลงไปในปัจเจก แล้วสิ่งที่ควรทำทุกคนก็จะทำกันเอง

บ่อยครั้ง ผมชอบครุ่นคิด เก็บกด มีคำถาม ในฐานะของลูกน้อง ทำให้ลืมไปว่าตัวเองก็เป็นหัวหน้า มีลูกน้องอีกหลายคน นี่ต่างหาก ที่เป็นบทบาทซึ่งสำคัญกว่า

จั่วหัว If I were you แน่นอนว่า มันเป็นไปไม่ได้ (ตอนเริ่มเขียน อารมณ์มันเกิด) เพราะถ้าผมไปเป็นหัวหน้าผม แล้วใครจะเป็นตัวผมล่ะ (งง) เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดเลย เปลืองทรัพยากรเวลาเปล่าๆ -- อยู่กับความเป็นจริงเถอะ ทำให้ดีที่สุด

วันนี้ตอนนี้สิ เป็น (being) หัวหน้าของน้องๆ อยู่แล้ว สิ่งใดที่ควรทำ แล้วยังไม่ได้คิด ไม่ได้ทำ จัดการซะ -- หัวหน้าที่ดีต้องทำอะไรบ้าง (คัดลอกมาจาก Web Worker Daily - Open Thread: How Effective Are You at Being Your Own Boss?)

  • Giving you objective and constructive feedback on your work and performance.
  • Setting performance goals and targets that stretch your capabilities and help you improve.
  • Providing mentorship, career guidance and helping you manage your long term career.
  • Giving you cover, taking the flak and enabling you to concentrate on getting things done.
  • Talking over difficult decisions to give you a different perspective and help you see the bigger picture.

ช่วงนี้ ความคิดไม่ค่อยว่างเว้น หนีไปไม่พ้น เรื่องงานเลยจริงๆ -- ใครมีน้ำยาล้างสมองบ้างครับ

Thursday, December 13, 2007

ขึ้นศาล

เมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องเดินขึ้นศาล ที่ตึกศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีหรอกครับ แค่ไปประชุมกับท่านผู้พิพากษา เท่านั้น

  • อาคารสำนักงานของศาลยุติธรรม เมื่อมองจากด้านหน้าเข้าไป จะทำให้นึกถึง ตราชั่งที่อยู่ในภาวะสมดุลย์ -- สงสัยว่า เป็นข้อบังคับรึเปล่า? ที่ต้องสร้างรูปแบบนี้ เหมือนกันหมด เมื่อเช้า ผมผ่านศาลแขวงนนทบุรี ก็แบบนี้เลย
  • ท่านผู้พิพากษา ช่างเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษ คือ จับประเด็นเก่งมาก พอผมเริ่มพาออกนอกประเด็น ก็โดนพวกท่านช่วยกันตบเข้าเรื่อง ไม่หลุดไปจนเสียเวลา
  • เกี่ยวกับ พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผู้พิพากษาท่านหนึ่งบอกว่า ข้อมูล ก็คือ 0 กับ 1 แค่นั้นเอง (ผมโอ้โหในใจเลย แต่ดีนะท่านไม่ลงลึกไปถึง การเรียงตัวของสนามแม่เหล็กบน disk)
  • ได้รับฟังบางท่าน เล่าถึงความแข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียวกัน ของสถาบันศาลแล้ว ก็อุ่นใจกับสถานการณ์บ้านเมือง ขึ้นมาได้บ้าง (มิน่าล่ะ ระยะหลังมานี้ ไม่ว่าใคร เรื่องอะไร ก็โยนไปที่ศาลยุติธรรมซะหมด)
  • คำ "ท่าน" ที่เราเรียกผู้พิพากษา ดูมีคุณค่ามากกว่าที่ได้ยินทั่วไป เพราะมาจากความเชื่อถือ ให้ความเคารพ (บ้างก็ศรัทธา) เนื่องด้วยศาลดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ไม่ใช่เจ้ายศเจ้าอย่าง เหมือนบางสาขาอาชีพ -- และในที่ประชุม ผมก็รับรู้ได้ สัมผัสได้อย่างนั้นจริงๆ
  • สิทธิมนุษยชน เป็นประเด็นซึ่งในที่ประชุม ให้ความสำคัญมาก ท่านถึงต้องเชิญเจ้านายของผม ไปเพื่อความคิดเห็นต่างมุมมอง โดยเฉพาะในเรื่องที่ไม่เชี่ยวชาญ ก่อนที่ท่านจะออกระเบียบปฏิบัติภายใน
  • ไม่มีอะไรที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมคิดว่าสถาบันศาลยุติธรรมก็ด้วย (เห็นส่วนตัว)
แต่ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่เคยคิดอยากจะไปศาลไหนๆ เลยครับ

เว็บไซต์: สำนักงานศาลยุติธรรม

Tuesday, December 11, 2007

ทำนายและภาวนา

เพิ่งจบเรื่อง "อ่านออก เขียนได้" ในหนังสือโลกจิต ของแทนไท ประเสริฐกุล ก็มาเสพข่าวเช้าเกือบเศร้า และใกล้ตัวเข้าให้ เลยจับมาเชื่อมโยงกัน บันทึกไว้ซะหน่อย

ในหนังสือพูดถึงคำว่า Barnum Statement เป็นภาษาวิชาการ ซึ่งได้แก่ พวกคำทำนายที่หมอดู โหราจารย์แม่นๆ ทั้งหลายชอบใช้ เช่นว่า ช่วงนี้ระวังจะเจ็บไข้ได้ป่วย (เป็นหวัด ท้องผูก ท้องเสีย กันปีละกี่ครั้ง) หรือคนใกล้ตัวจะนำเรื่องยุ่งยากมาให้ (คนไม่รู้จักกัน ใครจะแคร์)

ผมไป search ต่อก็ได้มาอีกคำ Cold Reading ซึ่งเป็นเทคนิคทางจิตวิทยา(ซะด้วย) ที่พวกหมอดูชอบใช้ ขนาดว่าไม่เคยพบเห็นกันมาก่อนเลย ก็สามารถทำนายเรื่องของลูกค้า ได้ใกล้เคียงถึงแม่นมาก

หลักการพวกนี้ ในชีวิตประจำวันไม่ได้มีเฉพาะเรื่องหมอดูเท่านั้น ลองสังเกตกันดีๆ พวกเราๆ ท่านๆ ต้องเคยตกเป็นเหยื่อเจ้าของสินค้า ที่ทำการตลาด โฆษณาชวนซื้อ ซึ่งต่างก็ใช้หลักการเหล่านี้แทบทั้งนั้น จำฝรั่งคนที่ขอซื้อยาแก้ปวดแผงนึง แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่...นะ ได้รึเปล่า (โฆษณามันพยายามจะฝังหัวพวกเราว่า เวลาปวด ให้บอกร้านขายยาว่า ขอซื้อ... แทนที่จะบอกว่า ขอซื้อยาแก้ปวด)

ตัดกลับมาที่ ข่าวโครงเหล็ก30ตัน ถล่มใส่รถ บริเวณแยกสะพานพระนั่งเกล้า ที่กำลังก่อสร้างสะพานพระนั่งเกล้า 2 -- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผมไม่แปลกใจมากนัก เพราะทำนายไว้แล้ว (แต่ไม่เคยบอกใคร) ว่าซักวันมันต้องหล่น แต่ดีใจที่คราวนี้ไม่มีใครบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แค่ทรัพย์สินเสียหายเท่านั้น เห็นมั้ยครับว่าผมเองไม่ใช่หมอดู ยังทายแม่นเลย (ฮา) ก็นั่งรถเมล์ผ่านแทบทุกวันๆ ละ 2 เที่ยวไป-กลับ

นอกจากทำนายแล้ว ผมยังภาวนา -- มันยังก่อสร้างต่อ กำหนดเสร็จตั้งกลางปีหน้านู่น ขออย่าให้มันมีอุบัติเหตุน่ากลัวๆ แบบนี้อีกเลย โดยเฉพาะเวลาตูนั่งรถผ่าน (พร้อมตายทุกเมื่อ แต่ไม่อยากถูกทับตาย)

แทนไท ทิ้งประเด็นฝากข้อคิดไว้ว่า ทุกวันนี้พวกเรา
ที่เชื่อ... เชื่อเพราะอะไร? ที่เลือก... เลือกเพราะอะไร? ที่ทำ... ทำเพราะอะไร?


ภาพและข่าว: ไทยรัฐ (ผ่าน teenee)

Sunday, December 09, 2007

บุคลิกภาพ

มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยได้เข้าคอร์สอบรมเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ (ของจอห์น โรเบิร์ต พาวเวล รึเปล่าไม่แน่ใจ) สนนราคาค่าอบรมต่อหัวต่อคน ก็ประมาณ 50,000 บาท ถ้าต้องลงทุนกันขนาดนี้ ผลตอบแทนมันต้องคุ้มแน่ๆ ในบริบทของทุนนิยม แต่สำหรับคนขวางๆ อย่างผม มีแนวโน้มสูญเปล่า -- แหม! พูดเหมือนจะยอมควักกระเป๋าจ่ายงั้นแหละ (หึๆ)

มื้อเย็นวาน ผบ.ทบ. เล่าให้ฟังว่า เจอเสื้อโปโลตราจระเข้ตัวหนึ่ง ในตลาดนัด เนื้อผ้าดีมาก เห็นแล้วอยากซื้อฝากผู้ใต้บังคับบัญชา (ผม) สักตัว แต่กลัวว่าราคา 450 บาท ผมจะไม่ใส่และบ่นเอา เพราะปกติทำเพดานไว้ที่ 300 บาท และเน้นแค่ สีไม่ตก เนื้อผ้าไม่ยับง่าย (สบายทั้งซัก และไม่ต้องรีด) พอแล้ว -- หน้าอย่างผมใส่ไอ้เข้ กลายเป็นไอ้โขง แหงๆ

ถกเลยเถิดกันไปถึงเรื่อง 'บุคลิกภาพ' เธอหาว่าผมชอบทำตัวโทรม+เซอ ไปไหนมาไหนด้วยกัน เดินห้าง เยี่ยมญาติ พบปะเจอะเจอเพื่อนฝูง ล่อรองเท้าฟองน้ำ 4 หู ( รุ่น 212 Birdie ) แทบทุกงาน (คู่เดียวสีดำ ของผมใส่มาทุกวัน เป็นปีๆ แล้ว ยังไม่พังเลย) ไร้ซึ่งบุคลิกแห่งตัวเอง ทั้งๆ หน้าที่การงาน ก็ไม่ขี้เหร่อะไร แต่ทำไมทำตัวบัด_บ เยี่ยงนี้ -- จากเธอเคยอาย กลายเป็นเบื่อจะบ่น จนเคยชินไปแล้ว

ผมน่ะเหรอ ไม่นั่งฟังอย่างเดียว แต่เถียงแถมเอาสีข้าง ถูๆ ไถๆ ไปตามฟอร์ม พอสนุกสนาน ไม่ซีเรียส เห็นเธอหยิบส้มขึ้นมาแกะเปลือกออก เพื่อจะกินเนื้อและน้ำส้มที่อยู่ข้างใน ผมโพล่งไปทันทีว่า "นั่นไง! เวลากินส้ม ทำไมต้องปลอกเปลือกด้วย ไม่กินเปลือกมันเข้าไปด้วยล่ะ" -- ผลน่ะหรือครับ ผมก็โดนเขวี้ยงใส่ ด้วยเปลือกส้มที่เธอปลอกแล้วนั่นแหละ (ฮา)

ความรัก เป็นห่วง และหวังดี ผมซาบซึ้ง และเข้าใจ แต่ตัวเราก็ยังเป็นตัวเรา (ฉันเป็นฉันเอง เท่ซะ) แม้จะดูขวางๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะขวางโลก หรือทวนกระแส แบบสุดขั้วไปซะทีเดียว เพียงแค่แก่นความคิด ความเชื่อข้างในมันเป็นแบบนั้น เมื่อในโอกาสที่พูดได้ ก็พูดและอธิบาย พอถึงเวลาและโอกาสที่ต้องไหลตามน้ำ (เลี่ยงไม่ได้) ผมไม่ฝืนหรอก เพราะรู้ว่าเหนื่อยเปล่า

ภาพประกอบ: http://www.nanyang.co.th

Thursday, December 06, 2007

Thai Team

จากงานสัมนา -- เพื่อสร้างความร่วมมือ ขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน หลายเรื่องหลายประเด็น ณ วันนี้ มันกำลังจะเริ่มก้าวไปในทางที่ดี จากจุดเดิมจุดเดียวกับ..กี่ปีมาแล้วนะ

จากรายการทีวี -- ดร.พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา บอกว่า "คนไทยเวลาทำอะไรคนเดียวเก่งมาก แต่พอทำเป็นทีมแล้ว ไม่ค่อยได้ความ"

จากตัวเอง -- สั่งงานน้องๆ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง หลายครั้งช้า ไม่ทันใจ ตูทำเองได้ ตูทำเลย (แล้วเมื่อไหร่น้องๆ มันจะทำเป็นฟะ) บางเรื่องที่มันไม่ใช่ทางของเรา แทนที่จะเรียนรู้ จะหัดทำ กลับไม่ทำ คิดว่าเสียเวลา (ทำไอ้ที่ตูถนัดดีกว่า) งานใครงานมัน ถนัดใครถนัดมัน

จากสถานการณ์บ้านเมือง -- เหอๆๆ ไม่มีคำวิพากย์วิจารณ์ใดๆ แต่ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ก็รับรู้ได้ว่า ทีมการเมืองไทยทุกวันนี้ เป็นอย่างไร

จากตัวเอง (อีกที) -- คงเพราะมีแต่พวกขี้บ่นอย่างเรานี่ล่ะมั้ง ประเทศชาติถึงไม่ค่อยรุ่งเรือง

อืม! พอพูดเรื่องประเทศชาติแล้ว นึกขึ้นได้ว่า ที่จริงทุกชีวิตบนโลก น่าจะเป็นชนชาติโลกเหมือนกันหมดเลย ไม่เว้นแมว หมา กิ้งก่า กิ้งกือ (ฮา)

ขอต่อ อีก 2 บรรทัดข้างล่างว่า แว่บความคิดนี้มาจากไหน..

สองวันก่อน อ่านหนอนในตะกร้า อหิงสา ที่เว็บไซต์ของ วินทร์ เลียววาริณ ชอบตอนท้ายมาก(สุดสุด) ขอขีดเส้นใต้ไว้ตรงนี้หน่อย

บางทีสงครามจะสิ้นสุดลงได้ เมื่อทุกคนคิดว่า เราเป็นพลเมืองของโลก ของจักรวาล เดียวกัน มิใช่ของชาติหรือเผ่าพันธุ์หนึ่งใด...

Monday, December 03, 2007

กลัว

กลัว

เมื่อเห็นคำนี้ แล้วคุณนึกถึงเรื่องอะไร

กลัว 'คน' ครับ ผมกลัวคนด้วยกันเอง เพราะคนสามารถฆ่าคนด้วยกันตายได้ เพียงเพื่อต้องการแย่งโทรศัพท์มือถือ

เป็นเรื่องแปลกที่คนเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียว ซึ่งไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้ สัตว์อื่นๆ เวลาอยู่กับธรรมชาติ ทำไมมันปรับตัวได้ เอาคนไปนอนกลางป่ากลางหญ้า ใต้ต้นไม้ ให้ตากน้ำค้าง 2-3 คืน กลับป่วยไม่สบาย แต่สัตว์อื่นไม่เป็นไร ไม่เห็นต้องมีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เหมือนคนด้วย

คนเกิดขึ้นมาเพื่อทำลาย ทำลายธรรมชาติ ทำร้ายสิ่งมีชีวิต ไล่ล่าสัตว์อื่น ยิงนก ตกปลา เพียงเพราะความสนุก ตัดต้นไม้ ทำลายป่า กลายเป็นที่โล่งๆ เอาปูนมาก่อๆ ปิดๆ แล้วเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น พอร้อนก็หาแอร์มาติด ทำลายภาวะสมดุลย์ของธรรมชาติ ทำให้โลกร้อน

คนเหมือนเป็นมนุษย์ที่มาจากต่างดาว ไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลก มาเพื่อแย่งชิง ทำลายทุกอย่างเพื่อตัวเอง

เป็ดไม่เคยยกพวกไปรุกรานแมว เพื่อแย่งอาณาเขต แต่คนรบกัน ทำสงคราม เพื่อแย่งดินแดน ทั้งๆ ที่โลกนี้มีที่พอสำหรับคนทุกคน

เวลาที่มีคนมาถามผมว่า พวกเราจะทำยังไง เพื่อช่วยแก้ไขและป้องกันภาวะโลกร้อน ผมตอบว่า ไม่มีทางทำได้ เพราะคนหรือมนุษย์อย่างพวกเราๆ มีหน้าที่ทำลายโลกต่างหาก คนเกิดมาเพื่อทำลาย

เวลาผมเดินในซอยเปลี่ยว มืด ผมไม่กลัวผี แต่ผมกลัวคน กลัวมันจะมาฆ่าผมตาย แล้วได้ไอ้รองเท้าหัวแหลมๆ ของผมไปคู่เดียว (ฮา)

ทั้งหมด ทุกบรรทัดข้างบน เป็นใจความที่ผมจับได้จาก คำตอบของ 'น้าเน็ก' เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ในรายการที่นี่หมอชิต เมื่อคืนนี้ ช่วงที่พิธีกรถาม เมื่อเห็นคำว่า 'กลัว' คุณคิดถึงเรื่องอะไร