Saturday, March 15, 2008

อาจจะเป็นวันนี้

ช่วงนี้กระแสของการรณรงค์เพื่อลดภาวะโลกร้อนกำลังมาแรง แต่สำหรับในชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่ผมยังไม่เห็นการปรับตัว การเปลี่ยนแปลงของสังคม ในระดับที่จะส่งให้เกิดผลกระทบได้ซักเท่าไหร่เลย กระแสที่ว่าแรงกลับเป็นแค่เรื่องธุรกิจของสื่อที่ขายข่าว แน่นอนว่ามีคนที่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง แต่ก็เป็นส่วนน้อย (แม้แต่คนรณรงค์เอง ก็ไม่รู้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ที่ในชีวิตประจำวันจะทำอย่างที่ตัวเองเรียกร้องให้คนอื่นช่วยกันทำได้)

การดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งเคยสุขเคยสบาย เป็นเรื่องยากที่จะให้คนเรา ปรับลดความสุขความสบายเหล่านั้นลง ตราบใดที่ระบอบของสังคมยังยอมรับว่า ใครมีปัญญาจ่าย ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา คนขายก็ยังต้องขายให้ โดยไม่สนว่าใครคนนั้นจะใช้มันอย่างสุรุ่ยสุร่ายอย่างไร (บรรทัดฐานของความสุรุ่ยสุร่ายก็ต่างกัน) รณรงค์ปาวๆ ก็ทำกันไปเถอะ แต่อากาศมันร้อนนี่ ฉันก็ต้องเปิดแอร์ตลอด ระบบขนส่งสาธารณะมันห่วยนี่ จะให้ฉันจอดรถยนต์ทิ้งไว้ที่บ้าน แล้วนั่งรถเมล์มาทำงานเหรอ ฝันไปเถอะ รอให้ไม่มีปัญญาจ่ายค่าน้ำมันก่อนแล้วกัน

ผมเองก็เข้าข่ายนี้เหมือนกัน แม้ตัวเองอยู่บ้าน อากาศร้อนเปิดพัดลมผมก็โอเคแล้ว แต่ลูกเมียบอกว่าพัดลมไม่พอ ร้อนจนจะบ้าอยู่แล้ว เปิดแอร์เถอะ จะทรมานกันไปทำไม ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟฟ้าหรือ ก็ไม่ใช่ -- ตัวอย่างสถานการณ์แบบที่ว่ามานี้ โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่(วัตถุ)เจริญแล้ว น่าจะมีเกินกว่า 70-80% ต่างใช้เป็นข้ออ้าง แต่ฟังดูเป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักซะด้วย รับฟังได้ เพราะอะไร เพราะพวกเราถูกบ่มเพาะให้เป็นแบบนั้นเอง ใครจะยอมรักษาทรัพยากรโลกเอาไว้ โดยที่ตัวเองหรือคนที่รักทนไม่ได้ ตายไปก่อน(ทรัพยากร)ล่ะ

คุณคิดว่าเจ้าของธุรกิจห้างสรรพสินค้า ควรจะยอมปรับลดการใช้แอร์คอนดิชั่น เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้ห้างของตัวเองร้อนกว่าที่เคยเป็น ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกค้าถดถอย (ใครจะไปเดิน ห้างที่แอร์ไม่เย็น) ธุรกิจเสียหาย -- น่าเห็นใจมั้ยละครับ

คุณคิดว่ามหาเศรษฐีหมื่นล้าน ควรจะช่วยโลกประหยัดน้ำมัน โดยการใช้ระบบขนส่งสาธารณะเดินทางไปประชุม พูดคุยเรื่องธุรกิจพันล้าน แล้วเดินเข้าห้องประชุมมาด้วยสภาพเหงื่อโทรมกาย (เสียภาพพจน์หมด) -- น่าเห็นใจมั้ยละครับ

คุณคิดว่าพวกพนักงาน ลูกจ้าง ข้าราชการ พ่อค้าแม่ขาย หาเช้ากินค่ำ อยากจะนอนห้องแอร์ เพราะทนไม่ไหวจริงๆ อากาศร้อนมาก จนนอนไม่หลับ (คนเหมือนกันนะ) แต่ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟฟ้า -- น่าเห็นใจมั้ยล่ะครับ

ผมว่าเรื่องภาวะโลกร้อน เป็นผลกระทบที่สั่งสมมานานจากการกระทำร่วมกัน ของมนุษย์(สิ่งมีชีวิตจอมปรุงแต่ง) อย่างพวกเราๆ นี่แหละ และอาจจะเป็นวันนี้ วันที่ต้องยอมรับ แม้จะพยายามเยียวยา ฟี้นฟู หรือป้องกันส่วนดีๆ ที่ยังเหลืออยู่น้อยนิด ก็จำเป็นต้องยอมครับ พวกเราอาจยอมไม่ได้ ที่โลกจะต้องมาย่อยยับดับสูญลงในยุคของพวกเรา เหตุผลลึกๆ จริงๆ ก็เพื่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ตามสัญชาตญาณมากกว่า ลองนึกดูสิครับว่า ถ้ามนุษย์เรามีดาวเคราะห์ดวงอื่นรองรับ จะมีกระแสอนุรักษ์โลกเช่นนี้อยู่หรือเปล่า

เรื่องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนากับมวลมนุษย์ เราต่างตอกย้ำกันเสมอในทุกระดับของสังคม ตั้งแต่ในครอบครัว ในโรงเรียน ไปจนระดับประเทศชาติ ระดับโลก ผมคิดว่าสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ มนุษย์เราควรต้องพร้อมจะยอมรับ ในผลจากการกระทำของบรรพบุรุษให้ได้ด้วย อย่าตีโพยตีพายไปเลย ถ้าการรณรงค์ไม่ได้ผล เพราะมันอาจจะเป็นวันนี้ จริงๆ แล้วก็ได้

"ปล่อยของอีกแล้วเรา"

ภาพประกอบ: http://www.teachnet.ie

No comments: