ค่ารักษาพยาบาลที่หมดไป ทำให้ต้องกลับมาคิดว่า การทุ่มเทสุขภาพทำงานอย่างหนักหน่วงนานเป็นปีๆ กับเงินทองที่หาได้มา เพื่อเป็นทุนรอนอนาคตสำหรับครอบครัว ซึ่งเพียงพอแค่ค่าเจ็บไข้ได้ป่วย (นอนโรงพยาบาลเอกชน) ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันคุ้มกันรึเปล่า -- สุขภาพ(ใจและกาย) ควรจะเป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง และแนวทางก็คือ การดูแล ป้องกัน ซึ่งย่อมดีกว่าเยียวยา รักษา
ช่วงนี้งานหลวงมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานที่ต้องลงแรงกาย และงานที่ต้องระดมกำลังสมอง งานราษฎร์ก็ยุ่งเหยิง ทั้งการปรับตัวเข้าโรงเรียนของลูก และการบริหารค่าใช้จ่ายในครัวเรือน (ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคาดหวังให้ ผบ.ทบ. มาช่วยทำแทน แต่ยังไม่สำเร็จซักที) พอมีโอกาสได้นั่งๆ นอนๆ ในช่วงว่างระหว่างที่ลูกนอนหลับ สมองก็คิดๆๆ สรุปได้แค่ว่า
- จัดลำดับความสำคัญ รายการของงานทั้งหมด ทั้งหลวงทั้งราษฎร์ มีอะไรบ้าง อันไหนต้องทำตอนไหน เวลาไหน อันไหนให้ใครช่วยได้บ้าง
- บริหารเวลา ทำตารางในการลงมือทำเอง และการติดต่อสื่อสาร(ข้อต่อไป) ทำเป็น checklist ได้ด้วยยิ่งดี
- การลงมือทำ และการติดต่อสื่อสาร ชี้แจงแถลงไข ว่าตอนนี้เราทำอะไรที่สำคัญกว่าอยู่นะ งานของใครควรรอ งานไหนจะเดินต่อ ใคร(นอกจากเรา)จะช่วยได้
และสุดท้ายที่ต้องทำให้ได้ เมื่อทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็คือ ทำใจ ยอมรับว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แม้ผลจะไม่เป็นที่น่าพอใจ หลายสิ่งหลายอย่างเราเองก็ควบคุมไม่ได้ ความสำเร็จอยู่ที่ตอนลงมือทำด้วยส่วนหนึ่ง (มากด้วย)
ระหว่างนั่งๆ นอนๆ offline ที่โรงพยาบาล (ตั้ง) 3 วันกว่าๆ ไม่ได้อ่านหนังสือซักเล่ม นอกจากหนังสือพิมพ์ แล้วก็คิดอะไรมาได้แค่นี้เองอะ
ปล. เรื่องวิ่งเพื่อสุขภาพของผมเอง ก็ต้องเริ่มกันใหม่เลย เพราะที่เริ่มไป 3 วัน ยังไม่ทันอยู่ตัว
2 comments:
ขอให้ทั้งคุณลูกและคุณพ่อ ฟื้นตัวไวๆ คะ
ขอบคุณครับ
Post a Comment