ขี้เกรงใจ เป็นนิสัยที่แทบจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของคนไทยส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้
เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่แคนาดาได้ปีกว่าๆ เล่าให้ฟังว่า พวกฝรั่งมันชอบถามน้องเขาว่า ทำไมเวลาชวนไปงานปาร์ตี้ทีไร คนไทยมักจะตอบทำนองเช่นว่า "เอ่อ! ก็อยากไปนะ แต่.." นู่นบ้าง นี่บ้าง ข้ออ้างต่างๆ นานา แล้วแต่จะหามาพูดให้เยิ่นเย้อ
ผมว่ามันก็ดูเป็นเรื่องปกติ(ตัวผมก็เป็น และเจอแทบทุกวัน) ทำไมเหรอ น้องเขาบอกว่า ฝรั่งมันดูหน้า เห็นอาการตอนตอบมันก็รู้ feeling ได้แล้วพี่ ว่าไอ้คนตอบน่ะ ไม่อยากไปหรอก ฝรั่งมันบอกว่า ก็แล้วทำไมพวก you ไม่ตอบมาเลยว่า "ไม่ไป เพราะไม่อยากไป" เท่านั้นก็จบ มันไม่เซ้าซี้ ไม่เคือง ไม่โกรธ ไม่งอน แน่นอน
เป็นนิสัยชอบถนอมน้ำใจผู้อื่นของคนไทยนั่นแหละ ไม่มีอะไรหรอก เมื่อมันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งดูแล้วไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ก็เก็บมันไว้เถอะ คงไม่เสียหายมั้ง
มาวันนี้ความคิดผมเปลี่ยน รำคาญไอ้นิสัยขี้เกรงใจของตัวเองจังเลย เพราะว่ามันมีเหตุให้ถูกนำมาใช้บ่อยจนเกินไป ใช้ทุกวัน อย่างไรนะหรือครับ ก็พนักงานหาสมาชิกบัตรเครดิตเอย ขายประกันเอย โทรเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน แม้ว่าเธอ/เขา แต่ละคน แต่ละค่ายจะโทรมาไม่ซ้ำเสียง แต่ผมสิครับ เป้าหมายปลายทาง ออกจะซ้ำบ่อยไปหน่อย
ตอนยังไม่ถี่ขนาดมารายวันนั้น ผมตั้งใจฟัง ให้โอกาสอธิบายเล่ารายละเอียด เพราะนิสัยถนอมน้ำใจ ขี้เกรงใจ ต่อมา พอชักถี่ขึ้นหน่อย ผมทนฟัง แล้วพอระยะหลังมานี่ ผมไม่ฟังแล้ว ถามว่าจะคุยเรื่องอะไร รู้ปุ๊บ ตัดบทปั๊บ แบบนี้เลย
"ขอโทษนะครับ ผมขอตัว ไม่ฟัง เพราะช่วงนี้ไม่สนใจ ไม่คิดจะรับข้อเสนอใดๆ"
ที่จริงก็ไม่ได้ใจไม้่ไส้ระกำหรอกนะครับ แต่เพราะไม่สนใจ ไม่คิด และไม่พร้อมรับข้อเสนอจริงๆ ต่างหาก (ตัวผม ผมย่อมรู้ดีที่สุด) ทำให้ผมต้องตัดเยื่อใยห้วนๆ อย่างนั้น หวังดี ไม่อยากให้เสียเวลากันทั้งสองฝ่าย
ไม่ต้องไปคิดแล้วครับว่าใครจะเสียน้ำใจ มันเป็นเรื่องปกติของพนักงานขาย เช่น เขาโทรหาเป้าหมาย 10 ราย มีคนฟังสัก 5 ราย เยี่ยมเลย แล้วใน 5 รายนั้น มีคนตกลงแค่ 1 ราย นั่นก็ยอดแล้ว -- ผมขอเป็น 1 ใน 5 ราย ที่(อย่างน้อยยัง)รับสาย แต่ไม่ฟังนะครับ
เกรงใจคนอื่น ในสถานการณ์ที่เหมาะที่ควร เป็นอุปนิสัยของคนดี ก็ดีครับ แต่อย่าลืมว่า บางครั้งก็ต้องเกรงใจตัวเองด้วยเหมือนกัน
ภาพประกอบ: http://jamamai.bloggang.com
No comments:
Post a Comment