จรรยาบรรณทางการแพทย์ (Medical Ethics)
นี่เป็นเรื่องที่ผมพบเห็นกับตัวเองค่อนข้างบ่อย แต่คราวนี้เป็นเรื่องเล่าจากปากของดวง เพื่อนของภรรยาผมเอง กับกรณีข่าวร้ายเมื่อวานนี้
ดวงเล่าว่า พยาบาลพูดกันหน้าตาเฉยๆ เลย (แต่จะคิดหรือไม่คิดอะไร ตอนที่พูดนั้น ไม่สามารถทราบได้) อย่างนี้ครับ
"(เด็ก 8 เดือนเสียชีวิตในครรภ์) เป็นเคสที่ไม่ได้ร้ายแรงหรือเร่งด่วนเท่าไหร่ ยังไม่ต้องรีบผ่าตัดออก จะปล่อยไว้เป็นอาทิตย์ก็ไม่อันตรายหรอก"
ใจเขาใจเราครับ แม่เด็กและครอบครัว รู้แล้วว่าลูกตัวเองเสียชีวิตในครรภ์ การที่ต้องอยู่ในสภาพอย่างนั้น ยังไม่ผ่าตัดเอาเด็กออก แม้ไม่เป็นอันตรายกับร่างกายของแม่ แล้วจิตใจกับความรู้สึกที่ต้องสูญเสียลูกละครับ -- คงจะมีน้อยคนนัก ที่ถูกฝึกมาให้เข้มแข็ง(กับกรณีอย่างนี้) ได้เหมือนอย่างคุณพยาบาล
ปล. ที่ตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ เพียงสงสัยว่าจรรยาบรรณทางการแพทย์ ครอบคลุมถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนไข้บ้าง มิได้คิดจะกล่าวหาใคร ว่าไม่มีจรรยาบรรณนะครับ และทุกสาขาอาชีพ ก็จำเป็นต้องมีจรรยาบรรณของอาชีพตัวเองเช่นกัน
Tuesday, July 29, 2008
Sunday, July 27, 2008
ลูกคิด "จ่ากลิ้งสอนลูกเก"
บทที่สี่ จ่ากลิ้งสอนลูกเก
"ดูละครแล้วย้อนดูตัว" วันนี้พ่อมีโอกาสได้นำคำกล่าวนี้ ที่เรามักจะได้ยินหลายคนพูดกันบ่อยๆ มาใช้ โดยนำความบางตอนของละคร มาเป็นบทเรียนบอกเล่าให้ลูกฟัง แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ พ่อไม่คิดว่าละครขำขัน เน้นเฮฮา เหนือจริง อย่าง "ผู้การเรือเร่" จะมีฉากอะไรซึ้งๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว ให้ตัวพ่อเองสามารถเก็บมาฝากลูกคิดได้นะสิ (จริงๆ ตอนนี้แม่เป็นคนได้ดู แล้วมาเล่าให้พ่อฟังอีกที)
ฉากนี้เป็นตอนที่จ่ากลิ้งผู้เป็นพ่อ กำลังสอนลูกสาวคือเกวลิน นางเอกของเรื่อง เกี่ยวกับคุณค่าของลูกผู้หญิง ความรักความห่วงใยของคนเป็นพ่อ โดยบทสนทนาระหว่างพ่อลูก มีประมาณนี้

เกวลิน: พ่อจะมีอะไรจะคุยกับเกหรอ
จ่ากลิ้ง: ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ พ่อมีอะไรอยากจะอวดแก ตามมา
เกวลิน: พ่อมีอะไรจะอวดเกหรอ
(จ่ากลิ้งล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วกำของบางอย่างออกมาชูขึ้นต่อหน้าเกวลิน)
เกวลิน: อะไรอะ
จ่ากลิ้ง: ของพิเศษ
เกวลิน: อะไรอะพ่อ (เข้ามาเหนี่ยวมือจ่ากลิ้ง)
จ่ากลิ้ง: ถ้าอยากรู้ก็จ่ายเงินก่อน
เกวลิน: ?
จ่ากลิ้ง: ว่าไง อยากดูเปล่า ถ้าอยากดูก็จ่ายเงินมา เพราะมันเป็นของพิเศษ แล้วก็พิเศษที่สุดในชีวิตพ่อ
เกวลิน: โหย ก็ได้ ก็ได้ พ่อเนี่ย (ควักเงินแบงก์ออกมานับ) อ๊ะ! เกตัดใจ ให้ร้อยนึง
จ่ากลิ้ง: (ส่ายหัว) ของพิเศษสุดในชีวิตพ่อ มันไม่ได้มีค่าแค่ร้อยเดียว .. เอางี้ ถ้าเกอยากดู พ่อขอเงินเกทั้งบัญชีเลย
เกวลิน: โหย หลายตังค์นะพ่อ
จ่ากลิ้ง: มันจะหลายแค่ไหน เงินในบัญชีแก มันก็ไม่มีค่าเท่ากับของพิเศษสุดในชีวิตของพ่อ .. ว่าไง แกอยากดูเปล่า ถ้าแกไม่อยากดูพ่อจะเก็บแล้วนะ
จ่ากลิ้ง: แล้วพ่อบอกก่อน ถ้าพ่อเก็บแล้ว แกจะไม่ได้เห็นของพิเศษสุดของพ่อไปตลอดชีวิต
เกวลิน: อ๊ะ! ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้นะ เกจะไปถอนเงินในแบงก์มาให้พ่อหมดเลย .. ฮือ คราวนี้ดูได้ยังอะ ไหนของพิเศษของพ่อคืออะไร แบมือเร็ว
จ่ากลิ้ง: ตั้งใจดูให้ดี (แบมือออกมา มีเหรียญห้าบาทวางอยู่ 1 เหรียญ)
เกวลิน: พ่อ นี่มันเหรียญห้าบาทธรรมดาๆ อะ ไม่เห็นวิเศษอะไรตรงไหนเลยอะ .. หรือว่าเป็นเหรียญห้าบาทปลุกเสก เหรียญห้าบาทกันผี เหรียญห้าบาทนำโชค แทงไม่เข้ายิงไม่ตาย ใช่มะ
จ่ากลิ้ง: เปล่าหรอกลูก มันก็แค่เหรียญห้าบาทธรรมดาๆ นี่แหละ
เกวลิน: อ้าว แล้วพ่อบอกว่ามันเป็นของพิเศษที่สุดในชีวิตพ่อไง พ่อขี้โกงอะ
จ่ากลิ้ง: ข้าไม่ได้โกง ข้าพูดจริง แกอยากดูอีกมั้ยล่ะ ทีนี้พ่อคิดสลึงเดียวเอง
เกวลิน: โฮ่ย ให้ฟรียังไม่ดูเลยพ่อ
จ่ากลิ้ง: เฮ่อ..ย เนี่ยลูก คนเราเนี่ยนะ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สมปรารถนา อยากรู้ อยากดู อยากเห็น .. พอสมปรารถนาแล้วเนี่ย ยกให้ฟรีๆ มันยังไม่เอา เนี่ยแหละที่พ่ออยากจะบอกลูก .. สิ่งที่พึงหวงแหนที่สุดในชีวิตผู้หญิง เป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าหากว่าเราเสียให้ใครไปก่อน ก็ไร้ค่า เหมือนกับเหรียญห้าบาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีๆ
จ่ากลิ้ง: เก แกรู้มั้ย พ่อเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นแกหนีไปเที่ยวกับไอ้หน้าลิงนั่น .. พ่อไม่รู้ว่าแกไปไหน แต่พ่อเป็นห่วงแกเข้าใจมั้ย
เกวลิน: แต่นาวินเค้าเป็นคนดีนะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงเกนะจ๊ะ .. เกไม่มีวันทำอะไรออกนอกลู่นอกทางแน่นอน
จ่ากลิ้ง: เฮ่อ..ย แต่หัวอกคนเป็นพ่อเนี่ย ยังไงมันก็อดห่วงไม่ได้ .. ยิ่งถ้ารู้ว่าจะมีลูกเขยเป็นพ่อค้าเรือเร่ ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างไอ้หน้าลิงนั่นน่ะ
เกวลิน: พ่อรังเกียจ ที่นาวินเค้าจนเหรอจ๊ะ
จ่ากลิ้ง: พ่อไม่เคยมองใครที่ความจนความรวยนะลูก แต่พ่อมองคนที่คุณค่าของความดีต่างหาก .. อย่างไอ้นาวินนั่นน่ะ มันกะล่อน มันเชื่อไม่ได้ พ่อเป็นห่วงเก เกเข้าใจพ่อมั้ยลูก
(เกวลินร้องไห้ สะอึกสะอื้น เดินโผเข้าไปกอดจ่ากลิ้ง ผู้เป็นพ่อ)
เกวลิน: เกเข้าใจ เกขอบคุณ ที่พ่อรักและก็เป็นห่วงเก เกจะไม่มีวันทำให้พ่อผิดหวังจ้ะ
บทก่อน
"ดูละครแล้วย้อนดูตัว" วันนี้พ่อมีโอกาสได้นำคำกล่าวนี้ ที่เรามักจะได้ยินหลายคนพูดกันบ่อยๆ มาใช้ โดยนำความบางตอนของละคร มาเป็นบทเรียนบอกเล่าให้ลูกฟัง แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ พ่อไม่คิดว่าละครขำขัน เน้นเฮฮา เหนือจริง อย่าง "ผู้การเรือเร่" จะมีฉากอะไรซึ้งๆ ระหว่างพ่อกับลูกสาว ให้ตัวพ่อเองสามารถเก็บมาฝากลูกคิดได้นะสิ (จริงๆ ตอนนี้แม่เป็นคนได้ดู แล้วมาเล่าให้พ่อฟังอีกที)
ฉากนี้เป็นตอนที่จ่ากลิ้งผู้เป็นพ่อ กำลังสอนลูกสาวคือเกวลิน นางเอกของเรื่อง เกี่ยวกับคุณค่าของลูกผู้หญิง ความรักความห่วงใยของคนเป็นพ่อ โดยบทสนทนาระหว่างพ่อลูก มีประมาณนี้

เกวลิน: พ่อจะมีอะไรจะคุยกับเกหรอ
จ่ากลิ้ง: ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ พ่อมีอะไรอยากจะอวดแก ตามมา
เกวลิน: พ่อมีอะไรจะอวดเกหรอ
(จ่ากลิ้งล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วกำของบางอย่างออกมาชูขึ้นต่อหน้าเกวลิน)
เกวลิน: อะไรอะ
จ่ากลิ้ง: ของพิเศษ
เกวลิน: อะไรอะพ่อ (เข้ามาเหนี่ยวมือจ่ากลิ้ง)
จ่ากลิ้ง: ถ้าอยากรู้ก็จ่ายเงินก่อน
เกวลิน: ?
จ่ากลิ้ง: ว่าไง อยากดูเปล่า ถ้าอยากดูก็จ่ายเงินมา เพราะมันเป็นของพิเศษ แล้วก็พิเศษที่สุดในชีวิตพ่อ
เกวลิน: โหย ก็ได้ ก็ได้ พ่อเนี่ย (ควักเงินแบงก์ออกมานับ) อ๊ะ! เกตัดใจ ให้ร้อยนึง
จ่ากลิ้ง: (ส่ายหัว) ของพิเศษสุดในชีวิตพ่อ มันไม่ได้มีค่าแค่ร้อยเดียว .. เอางี้ ถ้าเกอยากดู พ่อขอเงินเกทั้งบัญชีเลย
เกวลิน: โหย หลายตังค์นะพ่อ
จ่ากลิ้ง: มันจะหลายแค่ไหน เงินในบัญชีแก มันก็ไม่มีค่าเท่ากับของพิเศษสุดในชีวิตของพ่อ .. ว่าไง แกอยากดูเปล่า ถ้าแกไม่อยากดูพ่อจะเก็บแล้วนะ
จ่ากลิ้ง: แล้วพ่อบอกก่อน ถ้าพ่อเก็บแล้ว แกจะไม่ได้เห็นของพิเศษสุดของพ่อไปตลอดชีวิต
เกวลิน: อ๊ะ! ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้นะ เกจะไปถอนเงินในแบงก์มาให้พ่อหมดเลย .. ฮือ คราวนี้ดูได้ยังอะ ไหนของพิเศษของพ่อคืออะไร แบมือเร็ว
จ่ากลิ้ง: ตั้งใจดูให้ดี (แบมือออกมา มีเหรียญห้าบาทวางอยู่ 1 เหรียญ)
เกวลิน: พ่อ นี่มันเหรียญห้าบาทธรรมดาๆ อะ ไม่เห็นวิเศษอะไรตรงไหนเลยอะ .. หรือว่าเป็นเหรียญห้าบาทปลุกเสก เหรียญห้าบาทกันผี เหรียญห้าบาทนำโชค แทงไม่เข้ายิงไม่ตาย ใช่มะ
จ่ากลิ้ง: เปล่าหรอกลูก มันก็แค่เหรียญห้าบาทธรรมดาๆ นี่แหละ
เกวลิน: อ้าว แล้วพ่อบอกว่ามันเป็นของพิเศษที่สุดในชีวิตพ่อไง พ่อขี้โกงอะ
จ่ากลิ้ง: ข้าไม่ได้โกง ข้าพูดจริง แกอยากดูอีกมั้ยล่ะ ทีนี้พ่อคิดสลึงเดียวเอง
เกวลิน: โฮ่ย ให้ฟรียังไม่ดูเลยพ่อ
จ่ากลิ้ง: เฮ่อ..ย เนี่ยลูก คนเราเนี่ยนะ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สมปรารถนา อยากรู้ อยากดู อยากเห็น .. พอสมปรารถนาแล้วเนี่ย ยกให้ฟรีๆ มันยังไม่เอา เนี่ยแหละที่พ่ออยากจะบอกลูก .. สิ่งที่พึงหวงแหนที่สุดในชีวิตผู้หญิง เป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าหากว่าเราเสียให้ใครไปก่อน ก็ไร้ค่า เหมือนกับเหรียญห้าบาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีๆ
จ่ากลิ้ง: เก แกรู้มั้ย พ่อเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นแกหนีไปเที่ยวกับไอ้หน้าลิงนั่น .. พ่อไม่รู้ว่าแกไปไหน แต่พ่อเป็นห่วงแกเข้าใจมั้ย
เกวลิน: แต่นาวินเค้าเป็นคนดีนะพ่อ พ่อไม่ต้องห่วงเกนะจ๊ะ .. เกไม่มีวันทำอะไรออกนอกลู่นอกทางแน่นอน
จ่ากลิ้ง: เฮ่อ..ย แต่หัวอกคนเป็นพ่อเนี่ย ยังไงมันก็อดห่วงไม่ได้ .. ยิ่งถ้ารู้ว่าจะมีลูกเขยเป็นพ่อค้าเรือเร่ ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าอย่างไอ้หน้าลิงนั่นน่ะ
เกวลิน: พ่อรังเกียจ ที่นาวินเค้าจนเหรอจ๊ะ
จ่ากลิ้ง: พ่อไม่เคยมองใครที่ความจนความรวยนะลูก แต่พ่อมองคนที่คุณค่าของความดีต่างหาก .. อย่างไอ้นาวินนั่นน่ะ มันกะล่อน มันเชื่อไม่ได้ พ่อเป็นห่วงเก เกเข้าใจพ่อมั้ยลูก
(เกวลินร้องไห้ สะอึกสะอื้น เดินโผเข้าไปกอดจ่ากลิ้ง ผู้เป็นพ่อ)
เกวลิน: เกเข้าใจ เกขอบคุณ ที่พ่อรักและก็เป็นห่วงเก เกจะไม่มีวันทำให้พ่อผิดหวังจ้ะ
บทก่อน
Friday, July 25, 2008
My New Spartan
มีดพก Victorinox Swiss Army รุ่น Spartan ที่ใช้อยู่ (อันบนที่สลัก SNAKK) หมดอายุขัยซะแล้ว ต้องเปลี่ยนเอาอันใหม่ออกมาใช้แทน

Thursday, July 24, 2008
ผู้เริ่มจุดต่าง ผู้สร้างจุดเปลี่ยน
ไม่ได้ไปงาน 6 ปี ทีวีบูรพา ตามที่ตั้งใจ แต่เมื่อคืนวันอังคาร ได้ดูเทปบรรยากาศในงาน จากรายการคนค้นฅน ชอบตอนที่พี่เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ขึ้นไปพูดบนเวที ถึงที่มาของสโลแกน "ผู้เริ่มจุดต่าง ผู้สร้างจุดเปลี่ยน" ของทีวีบูรพา ผมจับใจความได้ประมาณว่า
"... ที่จริงแล้ว ทีมงานทีวีบูรพา ก็ไม่แตกต่างจากคนทำงานโดยทั่วไป คือ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองรัก อยากทำให้ผลงานออกมาดีที่สุด สามารถเลื้ยงตัวเองรอด แต่ความตั้งใจมุ่งหวังที่สำคัญ ซึ่งพวกเราทุกคนในทีมงาน มีเป้าหมายร่วมกัน คือ เราอยากจะใช้สื่อทีวี เป็นเครื่องมือในการนำเสนอเรื่องราว เพื่อสะกิดใจคนดูผู้ชมว่า อย่ามองข้ามเรื่องการทำความดีเล็กๆ น้อยๆ และเมื่อหลายๆ คนช่วยกันทำความดีเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมากขึ้น พวกท่านผู้ชมนั่นแหละครับ คือผู้สร้างจุดเปลี่ยนที่แท้จริง ..."
ความประทับใจของผมกับทีวีบูรพา มีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของรายการคนค้นฅน ปีแรกของรายการ ผมติดตามแทบทุกตอน ดูเรื่อยๆ ดูประจำ ทำให้ซึมซับเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เหมือนกัน (ตรงตามวัตถุประสงค์ของทีมงาน) ทุกวันนี้ ผมกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่มองข้ามอะไรง่ายๆ เก็บมาคิดเยอะก็จริง แต่ไม่เครียด รวมทั้งทำและไม่ทำอะไรเล็กๆ เท่าที่พึงกระทำได้ เช่น เลิกทิ้งตั๋วรถเมล์มั่วซั่ว (แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดไปเดินเก็บขยะตามท้องถนน เอามาใส่ถังนะ) ไม่เบียดเสียดยื้อแย่งเร่งแซงคิว ไม่เดินลัดสนามหญ้า ข้ามถนนทางม้าลายและสะพานลอย เป็นต้น (เล็กน้อยจริงๆ ด้วยสิ)
ที่สำคัญคือ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ถึงแม้ว่าบางคนจะทำสิ่งที่ไม่ค่อยดีต่อสังคมนัก ก็คิดซะว่าทุกการกระทำมีที่มา ถ้าจะตัดสินใคร ก็ต้องรู้เหตุแห่งการกระทำนั้นซะก่อน การเปลี่ยนแปลงใดๆ ควรเริ่มที่ตัวเราเอง ง่ายและทำได้ทันทีครับ
เชื่อว่าคงไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ซึมซับอะไรดีดีจากผลงานที่นำเสนอโดยทีมงานทีวีบูรพา แม้จะบอกไม่ได้ว่าส่งผลกระทบในวงกว้างมากน้อยขนาดไหน แต่ที่แน่นอนคือ มันย่อมดีกว่าปล่อยให้มันเป็นไป โดยที่ไม่มีใครคิดและทำอะไรเลย
เพิ่มเติม ระหว่างการที่คนส่วนใหญ่ในสังคม ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ กับคนส่วนน้อยหรือบางคน ทำผิดใหญ่ๆ มากๆ ผมว่าอย่างหลังน่าจะจัดการ ทั้งป้องกันและแก้ไขได้ง่ายกว่ากันเยอะเลย ตัวอย่างเช่น 1) มีโรงงานใหญ่สักโรง ปล่อยน้ำเสียวันละมากๆ ลงแม่น้ำลำคลอง หรือ 2) ชาวบ้านในชุมชนริมน้ำแทบทุกคน มีนิสัยชอบทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง เป็นมานานหลายปีจนเคยชิน (ไม่ได้คิดว่าผิด) -- สมมุติว่าตัวเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบเข้าไปดำเนินการแก้ไข แบบไหนจะยากกว่ากัน
Links เกี่ยวข้องกับสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ:
ภาพประกอบ: ยิ้มปริศนา BloG

ความประทับใจของผมกับทีวีบูรพา มีมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของรายการคนค้นฅน ปีแรกของรายการ ผมติดตามแทบทุกตอน ดูเรื่อยๆ ดูประจำ ทำให้ซึมซับเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เหมือนกัน (ตรงตามวัตถุประสงค์ของทีมงาน) ทุกวันนี้ ผมกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่มองข้ามอะไรง่ายๆ เก็บมาคิดเยอะก็จริง แต่ไม่เครียด รวมทั้งทำและไม่ทำอะไรเล็กๆ เท่าที่พึงกระทำได้ เช่น เลิกทิ้งตั๋วรถเมล์มั่วซั่ว (แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดไปเดินเก็บขยะตามท้องถนน เอามาใส่ถังนะ) ไม่เบียดเสียดยื้อแย่งเร่งแซงคิว ไม่เดินลัดสนามหญ้า ข้ามถนนทางม้าลายและสะพานลอย เป็นต้น (เล็กน้อยจริงๆ ด้วยสิ)
ที่สำคัญคือ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ ถึงแม้ว่าบางคนจะทำสิ่งที่ไม่ค่อยดีต่อสังคมนัก ก็คิดซะว่าทุกการกระทำมีที่มา ถ้าจะตัดสินใคร ก็ต้องรู้เหตุแห่งการกระทำนั้นซะก่อน การเปลี่ยนแปลงใดๆ ควรเริ่มที่ตัวเราเอง ง่ายและทำได้ทันทีครับ
เชื่อว่าคงไม่ใช่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ที่ซึมซับอะไรดีดีจากผลงานที่นำเสนอโดยทีมงานทีวีบูรพา แม้จะบอกไม่ได้ว่าส่งผลกระทบในวงกว้างมากน้อยขนาดไหน แต่ที่แน่นอนคือ มันย่อมดีกว่าปล่อยให้มันเป็นไป โดยที่ไม่มีใครคิดและทำอะไรเลย
เพิ่มเติม ระหว่างการที่คนส่วนใหญ่ในสังคม ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ กับคนส่วนน้อยหรือบางคน ทำผิดใหญ่ๆ มากๆ ผมว่าอย่างหลังน่าจะจัดการ ทั้งป้องกันและแก้ไขได้ง่ายกว่ากันเยอะเลย ตัวอย่างเช่น 1) มีโรงงานใหญ่สักโรง ปล่อยน้ำเสียวันละมากๆ ลงแม่น้ำลำคลอง หรือ 2) ชาวบ้านในชุมชนริมน้ำแทบทุกคน มีนิสัยชอบทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง เป็นมานานหลายปีจนเคยชิน (ไม่ได้คิดว่าผิด) -- สมมุติว่าตัวเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบเข้าไปดำเนินการแก้ไข แบบไหนจะยากกว่ากัน
Links เกี่ยวข้องกับสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ:
ภาพประกอบ: ยิ้มปริศนา BloG
Labels:
change,
TV Burabha,
จุดต่าง,
จุดเปลี่ยน,
ทีวีบูรพา,
สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ
Monday, July 21, 2008
Kung Fu Panda
นั่งดู Kung Fu Panda กับครอบครัวเมื่อวานนี้ สนุกดี แต่เห็นด้วยกับหลายๆ คนที่ว่าหนังมันสั้นไปหน่อย

อีกเรื่องที่ดูเหมือนไม่ได้ดู เมื่อวันหยุดอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา คือ Children of Men (มีคนบอกว่าเป็นหนังดีที่สุดของหนังที่ได้ชมในปี 2006) .. เรื่องนี้ต้องมีรีแมทช์กันอีกซักครั้ง
ภาพประกอบ: http://wikipedia.org

- เพลินๆ ฮาๆ ลูกคิดนั่งหัวร่องอหาย กับฉากแย่งซาลาเปา
- ลุ้นสุดก็ฉากต่อสู้กันบนสะพานเชือก
- ผิดหวังกับผู้ร้ายที่แผ่วปลาย แพ้ง่าย ตอนท้ายของเรื่อง
- เห็นบ่อยๆ ในหนังกังฟู ก็ต้องร้านบะหมี่ หรือไม่ก็โรงเตี๊ยม รวมทั้งฉากเหาะเหิน โจนทะยาน ไปตามหลังคา
- บุคลิกเด่นฮาขาประจำของพระเอก คือ ตะกละ (เป็นแรงจูงใจในการฝึกฝนซะด้วย)
- เห็น Panda ออกอาการต่อสู้ไป หัวเราะไป ทำให้ผมนึกถึงหน้าเฉินหลง ในหนัง "ไอ้หนุ่ม..." ไหนซักเรื่อง ยุค 20 กว่าปีก่อน ขึ้นมาทันที
อีกเรื่องที่ดูเหมือนไม่ได้ดู เมื่อวันหยุดอาสาฬหบูชาที่ผ่านมา คือ Children of Men (มีคนบอกว่าเป็นหนังดีที่สุดของหนังที่ได้ชมในปี 2006) .. เรื่องนี้ต้องมีรีแมทช์กันอีกซักครั้ง
ภาพประกอบ: http://wikipedia.org
Saturday, July 19, 2008
What am I doing today?
วันนี้ใช้เวลาแทบทั้งวันกับงานข้างล่างนื้แหละครับ ผลงานออกมาหน้าตาจะเป็นอย่างไร ไว้คอยติดตามชมที่ blog ลูกคิดละกัน
คุณครูเขาให้การบ้านมาทำกันทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูก (สงสัยจังว่าแล้วคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จะทำยังไงนะ)
ปล. 19 กรกฎาคม เป็นวันทวีธาภิเศก (เพื่อนกลุ่ม ม.ต้น ที่ทวีธาฯ น่าจะเป็นกลุ่มที่ผมจำชื่อเสียงเรียงนามได้เยอะสุดแล้ว)
คุณครูเขาให้การบ้านมาทำกันทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูก (สงสัยจังว่าแล้วคนที่ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ จะทำยังไงนะ)
ปล. 19 กรกฎาคม เป็นวันทวีธาภิเศก (เพื่อนกลุ่ม ม.ต้น ที่ทวีธาฯ น่าจะเป็นกลุ่มที่ผมจำชื่อเสียงเรียงนามได้เยอะสุดแล้ว)
ทำบุญเพราะเกรงใจ
ยังอยู่ในช่วงเทศกาลวันสำคัญทางพุทธศาสนา ขอโหนกระแสแบบ inside out ซักเล็กน้อย ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็วันนี้อยู่ดีดี ดันนึกปุจฉาตัวเองขึ้นมาซะงั้นว่า "ส่วนใหญ่ที่เราทำบุญ หรือบริจาคเงิน งานโน้นบ้างงานนี้บ้างน่ะ เพราะอะไร"
ถามจริงตอบตรงแบบไม่อายเลยว่า เพราะเกรงใจ เมื่อใดก็ตามที่พรรคพวกเพื่อนฝูงมาบอกบุญ แทบจะไม่มีซักครั้งเลยมั้งที่ผมปฏิเสธ แล้วก็น้อยครั้งอีกเหมือนกัน ที่จะถามไถ่หรืออ่านเอกสาร(ถ้ามี)อย่างละเอียดว่า ที่เขาชวนทำบุญกันนั้นน่ะ เขาไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร -- มาปุ๊บ (รู้งาน) ตอบสนองอัตโนมัติปั๊บเลย ควักกระเป๋า หยิบธนบัตรขึ้นมา 1 ใบ มูลค่าเท่าไรก็แล้วแต่งาน (ก็ยังดูบ้างนะ ว่างานอะไร) ใส่ซอง ยกมือพนมจรดศีรษะ อธิษฐานในใจ "คุณพระคุณเจ้า ขอให้โลกนี้มีแต่ความสงบสุข... สาธุ"
จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายนั้น นานกี่เดือนมาแล้ว ที่ผมคิดอยากจะไปทำบุญด้วยตัวเองจริงๆ โดยไม่มีใครชวน
บังเอิญไปเจอความเห็นในเว็บบอร์ด เกี่ยวกับเรื่องบุญ เขาคุยกันประมาณว่า มหาเศรษฐีทั้งหลาย ซึ่งร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองในชาตินี้นั้น เป็นเพราะบุญที่ทำเอาไว้มากมายตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่ถึงจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน ถ้าไม่สะสมเพิ่มขึ้นอีก ซักวันบุญจะหมด ... อ๊ะ! ผมเห็นแย้งทันที คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลหน่อย ถ้าเป็นอย่างที่ว่านั้นจริงๆ แล้วทุกคนเชื่อ ทุกคนทำตาม ความรวยความจน มันก็ไม่มีวันหมุนวนเปลี่ยนแปลงไปจากใครได้เลยสิ
บาปบุญ ดีเลว สุขทุกข์ มันไม่เกี่ยวกันเลยกับ ทรัพย์สินเงินทอง รวยหรือจน
ทำบุญ ผมหวังผลแค่อย่างเดียว คือ สบายใจ (ในทุกแง่มุม) ส่วนที่เล่ามาข้างบนว่า ทำบุญเพราะเกรงใจ ผมไม่ได้เลยจริงๆ นะครับ ไอ้ความสบายใจอย่างที่หวังนั่นน่ะ -- เพราะทำทีไร กลับมานั่งรู้สึกทะแม่งๆ ตัวเองยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน (เกรงใจก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นด้วยล่ะ..แจ่ม)
เขียนไปเขียนมาเข้าล๊อคผมอีกละ "ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในโลกนี้หรอก ที่จะทำอะไรโดยไม่หวังผลใดๆ เลย"
วกกลับมาเรื่องทำบุญ จะว่าไป ปัจจัยมันก็เป็นของปัจเจก ใครใคร่ทำอะไรทำ สบายใจแบบไหน เชื่อและศรัทธาอย่างไร เชิญดำเนินการกันตามสะดวก ขออย่าเบียดเบียนผู้อื่นเท่านั้นเป็นพอ
...สาธุ...
ถามจริงตอบตรงแบบไม่อายเลยว่า เพราะเกรงใจ เมื่อใดก็ตามที่พรรคพวกเพื่อนฝูงมาบอกบุญ แทบจะไม่มีซักครั้งเลยมั้งที่ผมปฏิเสธ แล้วก็น้อยครั้งอีกเหมือนกัน ที่จะถามไถ่หรืออ่านเอกสาร(ถ้ามี)อย่างละเอียดว่า ที่เขาชวนทำบุญกันนั้นน่ะ เขาไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร -- มาปุ๊บ (รู้งาน) ตอบสนองอัตโนมัติปั๊บเลย ควักกระเป๋า หยิบธนบัตรขึ้นมา 1 ใบ มูลค่าเท่าไรก็แล้วแต่งาน (ก็ยังดูบ้างนะ ว่างานอะไร) ใส่ซอง ยกมือพนมจรดศีรษะ อธิษฐานในใจ "คุณพระคุณเจ้า ขอให้โลกนี้มีแต่ความสงบสุข... สาธุ"
จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายนั้น นานกี่เดือนมาแล้ว ที่ผมคิดอยากจะไปทำบุญด้วยตัวเองจริงๆ โดยไม่มีใครชวน
บังเอิญไปเจอความเห็นในเว็บบอร์ด เกี่ยวกับเรื่องบุญ เขาคุยกันประมาณว่า มหาเศรษฐีทั้งหลาย ซึ่งร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองในชาตินี้นั้น เป็นเพราะบุญที่ทำเอาไว้มากมายตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่ถึงจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน ถ้าไม่สะสมเพิ่มขึ้นอีก ซักวันบุญจะหมด ... อ๊ะ! ผมเห็นแย้งทันที คิดแบบเป็นเหตุเป็นผลหน่อย ถ้าเป็นอย่างที่ว่านั้นจริงๆ แล้วทุกคนเชื่อ ทุกคนทำตาม ความรวยความจน มันก็ไม่มีวันหมุนวนเปลี่ยนแปลงไปจากใครได้เลยสิ
บาปบุญ ดีเลว สุขทุกข์ มันไม่เกี่ยวกันเลยกับ ทรัพย์สินเงินทอง รวยหรือจน
ทำบุญ ผมหวังผลแค่อย่างเดียว คือ สบายใจ (ในทุกแง่มุม) ส่วนที่เล่ามาข้างบนว่า ทำบุญเพราะเกรงใจ ผมไม่ได้เลยจริงๆ นะครับ ไอ้ความสบายใจอย่างที่หวังนั่นน่ะ -- เพราะทำทีไร กลับมานั่งรู้สึกทะแม่งๆ ตัวเองยังไงไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน (เกรงใจก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ถ้ารู้จักใช้ให้เป็นด้วยล่ะ..แจ่ม)
เขียนไปเขียนมาเข้าล๊อคผมอีกละ "ไม่มีมนุษย์หน้าไหนในโลกนี้หรอก ที่จะทำอะไรโดยไม่หวังผลใดๆ เลย"
วกกลับมาเรื่องทำบุญ จะว่าไป ปัจจัยมันก็เป็นของปัจเจก ใครใคร่ทำอะไรทำ สบายใจแบบไหน เชื่อและศรัทธาอย่างไร เชิญดำเนินการกันตามสะดวก ขออย่าเบียดเบียนผู้อื่นเท่านั้นเป็นพอ
...สาธุ...
Thursday, July 17, 2008
วันนี้วันพระ
นานๆ ทีจะมานั่งคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไร เพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก็จุดธูปเทียน สวดมนต์ไหว้พระที่บ้านแล้ว -- สุดท้าย ก็ไม่วายมานั่งเขียน blog (จะมีวันไหนที่อยู่บ้าน แล้ว offline 100% ได้บ้างนะ)
ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ขวางๆ โลกอยู่ซักหน่อย ประมาณว่าวันไหนที่คนส่วนใหญ่ทำอะไร ผมจะไม่อยากทำ อย่างใส่บาตรทำบุญวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาเนี่ย ผมไม่ชอบทำเอาซะเลย เพราะว่าคนส่วนใหญ่แห่ไปทำกันมากมายอยู่แล้ว เอาไว้ทำวันอื่นที่ไม่ค่อยมีใครทำดีกว่า -- วันนี้วันอาสาฬหบูชา ที่วัดคนคงตรึม ผมละไม่อยากไปเลย
หลายคนที่รู้ว่าผมใช้นามสกุลอะไร คงคิดว่า "มันไม่น่าใช้นามสกุลนี้เลย พับผ่าสิ"
ว่างๆ ลองมานั่งไล่ดู blog เก่าๆ (รวมทั้งของลูกคิดด้วย) ที่บันทึกไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาหรือเรื่องพระเรื่องเจ้า น้อยถึงน้อยมากจริงๆ (ขนาดว่ารวมที่พูดถึงแบบเฉียดๆ ด้วยแล้วนะ)
ปล. ลูกคิดไม่ค่อยสบาย คงได้เอกเขนกอยู่บ้าน ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือไม่ก็ออนไลน์ เรื่อยเปื่อย ชิลๆ
ด้วยนิสัยส่วนตัวที่ขวางๆ โลกอยู่ซักหน่อย ประมาณว่าวันไหนที่คนส่วนใหญ่ทำอะไร ผมจะไม่อยากทำ อย่างใส่บาตรทำบุญวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาเนี่ย ผมไม่ชอบทำเอาซะเลย เพราะว่าคนส่วนใหญ่แห่ไปทำกันมากมายอยู่แล้ว เอาไว้ทำวันอื่นที่ไม่ค่อยมีใครทำดีกว่า -- วันนี้วันอาสาฬหบูชา ที่วัดคนคงตรึม ผมละไม่อยากไปเลย
หลายคนที่รู้ว่าผมใช้นามสกุลอะไร คงคิดว่า "มันไม่น่าใช้นามสกุลนี้เลย พับผ่าสิ"
ว่างๆ ลองมานั่งไล่ดู blog เก่าๆ (รวมทั้งของลูกคิดด้วย) ที่บันทึกไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาหรือเรื่องพระเรื่องเจ้า น้อยถึงน้อยมากจริงๆ (ขนาดว่ารวมที่พูดถึงแบบเฉียดๆ ด้วยแล้วนะ)
- วิถีแห่งความสุข (น้องที่ทำงานเพิ่งพิมพ์เป็นหนังสือ แจกให้มาเล่มหนึ่ง ... ขอบคุณนะครับ แจง!)
- น้า..กัลยาณมิตร (ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์)
- ลมหายใจ (บทสรุปของปัจเจก)
- Ideal Society (เป้าหมายที่ไม่มีวันเป็นจริง)
- ดอกไม้เข้าพรรษา (ลูกคิด ใสๆ ไปเรื่อย)
ปล. ลูกคิดไม่ค่อยสบาย คงได้เอกเขนกอยู่บ้าน ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือไม่ก็ออนไลน์ เรื่อยเปื่อย ชิลๆ
Monday, July 14, 2008
Conflict

ความขัดแย้ง เป็นเรื่องปกติของสังคมที่มีมากกว่า 1 ชีวิตขึ้นไป (ขนาดตัวคนเดียว ยังเกิดความขัดแย้งในใจได้เลย) ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกำจัด หากแต่ต้องจัดการ เมื่อมันลุกลาม รุนแรง จนอาจส่งผลกระทบในทางลบได้
ค้นหาคำ Conflict Management จากเน็ต เก็บ quote ข้างล่างมาฝาก(เพราะชอบ)ก่อนละกัน ส่วนรูปที่เห็นก็มาจากเว็บเดียวกัน มิได้มีเจตนาจะเปรียบเปรยใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ
"You can't shake hands with a clenched fist" (Indira Gandhi)
"คุณไม่สามารถจะจับมือทักทายกับใครได้ด้วยมือที่กำหมัดอยู่" (อินทิรา คานธี)
เก็บตก Pros - Cons :
- อุดช่องโหว่ - จับผิด
- วิพากษ์วิจารณ์ - ใส่ร้ายป้ายสี
- ตั้งใจทำอย่างระมัดระวัง - ไม่ทำไม่ผิด ทำน้อยผิดน้อย
- รักษาผลประโยชน์ - ธุระไม่ใช่ เรื่องไม่เกี่ยว
- แข่งผลงาน - แข่งรายงาน
- วัด EQ - ทำลาย IQ
- บททดสอบผู้นำ - บ่อนทำลายจิตใจ
ที่มันท้าทาย คือข้อสุดท้ายนี่แหละ คนที่ต้องจัดการนั้นงานล้นมือ ผู้ช่วยมือขวามือซ้ายก็ไม่ชัดเจน สถานการณ์ก็หมิ่นเหม่ที่อาจส่งผลกระทบกับงานได้ง่าย และเข้าขั้นรุนแรง -- ยากที่สุดแล้วละ เรื่องบริหารคน (ผมถอยฉากออกมาแล้ว แต่ชอบเก็บมาคิดให้รกสมองเล่นๆ)
ภาพประกอบ: http://www.positivepathways.co.nz
Friday, July 11, 2008
อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ระยะเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมแทบจะเลิกอ่านหนังสือไปเลย แต่มาอาศัยอ่านออนไลน์แทน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทความหรือบล็อก สั้นๆ อ่านยาวมากมักไม่ค่อยจบ (ถึงอ่านหนังสือก็เถอะ ก็ไม่ค่อยได้อ่านพวกนวนิยายเรื่องยาวๆ เท่าไรนัก เคยลองแล้วไม่สำเร็จ) เย็นนี้มีนัดตั้งวงเล่ากับสหายสนิท น้องกิตบอกจะติดหนังสือแปล The Godfather มาฝาก (เอาวะ น้องภูมิใจนำเสนอ พี่ก็ขอตั้งใจพาสนอง อ่านให้จบให้ได้สิน่า) -- บรรยากาศแห่งการร่ำสุรา บวกกับแลกเปลี่ยนสิ่งที่เหล่าจอมยุทธทั้ง 3-4 ท่าน ประสบพบมาในช่วงเวลากว่าปีที่ไม่ได้เจอกัน
สำหรับผม ชีวิตที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า มักจะเก็บเกี่ยวหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะแนวความคิดการดำเนินชีวิตในแง่มุมต่างๆ จากวงสุราฮาเฮนี่แหละ (หลังๆ ชอบเรียก "วงเล่า") โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบวิธีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้วยการพูดคุยแบบประจันหน้ากัน (เลือกกลุ่มด้วยล่ะ ไม่ใช่พร่ำเพรื่อ) แต่วันที่อายุเดินทางมาถึงจุดๆ หนึ่ง สมาชิกส่วนใหญ่ต่างแยกย้าย ห่างไกล ไปมีครอบครัวบ้าง ไปดูแลบุพการีบ้าง ไปสานฝันของตัวเองบ้าง โอกาสในการพบปะสังสรรค์ก็น้อยลงตามลำดับ แต่หามีใครรอคอยหรือคร่ำครวญกับมันไม่ -- เมื่อเวลาและโอกาสเหมาะมาบรรจบอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ยินดีและรู้สึกเหมือนเดิม
นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ่านน้อยลงไปก็คือ อยากจะเขียนให้มากขึ้น (อย่างที่เห็นในบล็อกนี่ละ แม้หลายๆ อันจะเป็นการตัดแปะก็เถอะ) เอาความคิด ความเชื่อของตัวเองแสดงออกมาบ้าง ไม่ใช่สักแต่อ่านๆๆ แล้วก็เก็บมันเอาไว้คนเดียว ตั้งใจว่าจะเขียนทุกๆ เรื่องเท่าที่จะเขียนได้
อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร) -- ผิดถูก หรือแตกต่างนั้นไม่สำคัญ เท่ากับการกล้าคิดกล้าแสดงออก คนที่กล้าเขียนย่อมหมายถึง ไม่กลัวที่จะผิด พร้อมยอมรับคำวิจารณ์ และกล้าโต้แย้งด้วยเหตุและผล แต่การจ้ำจี้จำไชให้ใครทำอะไรที่เจ้าตัวไม่ได้อยากทำ ย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล มุ่งมั่นสร้างทัศนคติ นั่นต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ ... แรงบันดาลใจของตัวเราเอง จะให้ใครมาสร้างให้ละครับ
บล็อกของผมมักจะดูจริงจังแบบนี้แหละ ถึงจะคิดเยอะ แต่ไม่เครียดนะคร้า..บ
ปล. ยกให้เพลงนี้ เป็นเพลงเพื่อชีวิตประจำตัวของผมมานานแล้ว ชอบมากที่สุด ขอบอก
สำหรับผม ชีวิตที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า มักจะเก็บเกี่ยวหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะแนวความคิดการดำเนินชีวิตในแง่มุมต่างๆ จากวงสุราฮาเฮนี่แหละ (หลังๆ ชอบเรียก "วงเล่า") โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบวิธีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ด้วยการพูดคุยแบบประจันหน้ากัน (เลือกกลุ่มด้วยล่ะ ไม่ใช่พร่ำเพรื่อ) แต่วันที่อายุเดินทางมาถึงจุดๆ หนึ่ง สมาชิกส่วนใหญ่ต่างแยกย้าย ห่างไกล ไปมีครอบครัวบ้าง ไปดูแลบุพการีบ้าง ไปสานฝันของตัวเองบ้าง โอกาสในการพบปะสังสรรค์ก็น้อยลงตามลำดับ แต่หามีใครรอคอยหรือคร่ำครวญกับมันไม่ -- เมื่อเวลาและโอกาสเหมาะมาบรรจบอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ยินดีและรู้สึกเหมือนเดิม
นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมอ่านน้อยลงไปก็คือ อยากจะเขียนให้มากขึ้น (อย่างที่เห็นในบล็อกนี่ละ แม้หลายๆ อันจะเป็นการตัดแปะก็เถอะ) เอาความคิด ความเชื่อของตัวเองแสดงออกมาบ้าง ไม่ใช่สักแต่อ่านๆๆ แล้วก็เก็บมันเอาไว้คนเดียว ตั้งใจว่าจะเขียนทุกๆ เรื่องเท่าที่จะเขียนได้
อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร) -- ผิดถูก หรือแตกต่างนั้นไม่สำคัญ เท่ากับการกล้าคิดกล้าแสดงออก คนที่กล้าเขียนย่อมหมายถึง ไม่กลัวที่จะผิด พร้อมยอมรับคำวิจารณ์ และกล้าโต้แย้งด้วยเหตุและผล แต่การจ้ำจี้จำไชให้ใครทำอะไรที่เจ้าตัวไม่ได้อยากทำ ย่อมไม่สัมฤทธิ์ผล มุ่งมั่นสร้างทัศนคติ นั่นต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ ... แรงบันดาลใจของตัวเราเอง จะให้ใครมาสร้างให้ละครับ
บล็อกของผมมักจะดูจริงจังแบบนี้แหละ ถึงจะคิดเยอะ แต่ไม่เครียดนะคร้า..บ
ปล. ยกให้เพลงนี้ เป็นเพลงเพื่อชีวิตประจำตัวของผมมานานแล้ว ชอบมากที่สุด ขอบอก
Thursday, July 10, 2008
Questioning Yours
ว่ากันว่าเวลา 2 ใน 3 ของชีวิตคนเรา ก็คือ งาน -- มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำไว้ใน blog ของที่ทำงานก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขอนำมาแปะที่นี่ไว้เตือนสติตัวเองด้วยละกัน

ไม่ว่าเรื่องงาน ครอบครัว สังคม หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัว ก็น่าจะตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเราเองได้อยู่ร่ำไปนะ ประมาณว่าทุกการกระทำของเรานั้น มีคุณค่าหรือเปล่า และวัดด้วยมาตรฐานไหน เพื่อตัวเอง หรือเพื่อใคร
ที่มา: 37signals ผ่าน THE PRACTICE OF LEADERSHIP

ไม่ว่าเรื่องงาน ครอบครัว สังคม หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัว ก็น่าจะตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเราเองได้อยู่ร่ำไปนะ ประมาณว่าทุกการกระทำของเรานั้น มีคุณค่าหรือเปล่า และวัดด้วยมาตรฐานไหน เพื่อตัวเอง หรือเพื่อใคร
ที่มา: 37signals ผ่าน THE PRACTICE OF LEADERSHIP
Monday, July 07, 2008
ทรัพย์ศฤงคาร
เช้าวันศุกร์ที่แล้ว แวะไปรับโฉนดที่จำนองเป็นประกันไว้กับธนาคารมาเรียบร้อย -- ได้ชื่อ(ตามบริบทสมมุติของสังคม)ว่า มีทรัพย์สินที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตกับเขาบ้างแล้ว (แค่กระดาษแผ่นเดียว ก็บอกได้แล้วว่า ใครเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินตรงไหน) แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเท่าใดนัก ต่างกับตอนซื้อและเข้าอยู่ลิบลับ แม้ว่าตอนนั้น อยู่ๆ ก็เป็นหนี้เกือบล้าน
ทุกวันนี้ ยังรู้สึกดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ที่ได้นอนเอกเขนกอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้

ยังไม่ได้ไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ในทันที แต่ก็คงไม่ทิ้งไว้นาน เดี๋ยวจะลืมซะ

ที่ยังสงสัยก็คือว่า บ้านพร้อมที่ดินหลังนี้ ถือเป็นสินสมรสไปโดยปริยายหรือเปล่า เพราะตอนทำสัญญาซื้อบ้านและขอสินเชื่อนั้น ยังไม่ได้แต่งงาน แต่อีกไม่กี่วันที่จะโอนกรรมสิทธิ์คืนจากธนาคาร ตอนนี้ไม่โสด (จดทะเบียนสมรสมากว่า 4 ปีแล้ว)
ทุกวันนี้ ยังรู้สึกดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ ที่ได้นอนเอกเขนกอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้

ยังไม่ได้ไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ในทันที แต่ก็คงไม่ทิ้งไว้นาน เดี๋ยวจะลืมซะ

ที่ยังสงสัยก็คือว่า บ้านพร้อมที่ดินหลังนี้ ถือเป็นสินสมรสไปโดยปริยายหรือเปล่า เพราะตอนทำสัญญาซื้อบ้านและขอสินเชื่อนั้น ยังไม่ได้แต่งงาน แต่อีกไม่กี่วันที่จะโอนกรรมสิทธิ์คืนจากธนาคาร ตอนนี้ไม่โสด (จดทะเบียนสมรสมากว่า 4 ปีแล้ว)
Sunday, July 06, 2008
6 ปี ทีวีบูรพา

ถ้าใครเคยดูรายการของทีวีบูรพา จะเห็นว่าแต่ละพล็อตแต่ละเรื่องที่ทีมงานนำมาเสมอ เป็นอะไรที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งแม้จะชินตาจนบางครั้งมองข้าม แต่เราเองคงไม่มีโอกาสลงไปเจาะลึก นำเบื้องหลังของเรื่องชิลๆ เหล่านั้นมาเสนอได้น่าสนใจเหมือนอย่างที่เขาทำ
ผมคิดว่าผลงานของทีวีบูรพาโดนใจคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่มาได้ขนาดนี้
วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่ 11-12-13 กรกฎาคมนี้ จะมีงานครบรอบ 6 ปี ทีวีบูรพา ที่ J.J. mall สวนจตุจักร -- ผมนะอยากไปมาก แต่ไม่รู้จะได้ไปรึเปล่า เพราะเกรงว่าคนจะแออัดยัดทะนาน แม้ไปถึงแล้ว ก็อาจต้องรีบเผ่นกลับไม่ทันซะก่อนสิครับ (เป็นโรคกลัวฝูงมหาชนคนล้นหลาม) คือว่าลูกคิดกับแม่เขาอยากไปด้วย กลัวจะต้องอุ้มลูกจนหลังเดี้ยงนะสิ
ปล. เสาร์-อาทิตย์นี้ ก็นอนหลับกลางวันตุนไว้เยอะแล้วนะ (กินยาแก้หวัด เลยหลับสบึม) ตั้งเป้าไว้ก่อนว่าจะไปละกัน
Wednesday, July 02, 2008
925,685.29 บาท จริงหรือหลอก
เย็นวาน ลุยฝนฝ่าพายุกลับถึงบ้าน ขาวๆ แว้บๆ ที่โต๊ะคอมฯ -- เฮ้ย! จดหมายลงทะเบียน เรื่องอะไรหว่า สังหรณ์ใจยังไงชอบกล แกะดูก่อนเลย ทั้งๆ ที่ตัวยังเปียกปอนเละเทะขนาดหนัก เปิดอ่าน ... โอ้ ! โน่ว!
"โดยท่านยังคงมีหนี้ค้างชำระอยู่เป็น จำนวนเงินทั้งสิ้น 925,685.29 บาท (เก้าแสนสองหมื่นห้าพันหกร้อยแปดสิบห้าบาทยี่สิบเก้าสตางค์) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.50 ต่อปี"
งานเข้าแล้วไหมล่ะ ทำไงก่อนดีฟะ จากหิวจัดจนตาลาย กลายเป็นอิ่มตื้อ หูอื้ออีกต่างหาก เหลือบมองตาแป๋วลูกคิด แต่ไม่กล้าสบตาโหดของแม่ลูกคิดอะ .. เริ่มต้น เริ่มต้น ไงดี ไงดีวะตู
ขนาดว่าหักเงินที่ธนาคารได้รับจากการขายบ้านทอดตลาดแล้วนะ จากวันนั้น 01/05/2543 วันที่ศาลตัดสิน ยอดหนี้ค้างชำระจำนวน 451,959.12 บาท (สี่แสนห้าหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบเก้าบาทสิบสองสตางค์)
จดหมายมาจากทนายความ ก็พอรู้ละว่ามันต้องตัดทอนความเว่อออกไปบ้าง แต่ตัวเลขเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจ แม้ว่ายอดนั้นจะมาตามสูตรคณิตศาสตร์ มีหลักการดอกเบี้ยทบต้นรองรับก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงถ้าพระคุณท่านเจ้าหนึ้ต้องการยอดนี้จริงๆ ก็คงเป็นไปได้ยากครับ -- ถ้าท่านเอาจริง ผมคงต้องร้องเพลงน้องโฟร์-มด รอได้เลย "ก็ใจมันหาย ละลายละลายละลายละไหลไปกับเธอ"
ไม่รู้ว่าผมอคติเกินไปรึเปล่า ที่มองอาชีพทนายความว่า คนที่จะเจริญรุ่งเรือง(วัดกันทางวัตถุนิยม)ในหน้าที่การงานมากๆ เนี่ย จำเป็นต้องตัดมนุษยธรรม ตัดอารมณ์ขี้สงสาร ตัดนิสัยประนีประนอมทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ยึดถือแต่ตัวหนังสือในกฏหมายทั้งหลายแหล่ วันๆ เอาแต่นั่งตีความ เพื่อไปว่า พูดจาโน้มน้าวให้ใครต่อใครรวมทั้งศาลเห็นคล้อยตามตัวเองไปด้วย (ยังไงก็ได้ ขอแค่ให้เป็นฝ่ายชนะคดีในที่สุด)
ผมมองทนายความเป็นหนึ่งในวิชามารอาชีพ เทือกๆ เดียวกันกับ ตำรวจ นักการเมือง เจ้าพ่อ ผู้ทรงอิทธิพล ทำนองนั้นเลยล่ะ -- นัยของผมก็คือว่า อาชีพเหล่านี้ มีช่องมีโอกาสอย่างมาก ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวบุคคล แบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ง่ายๆ ถ้าคนๆ นั้น มีจิตใจไม่มั่นคงพอ (เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม) ไม่ได้หมายความว่าทนายความทุกคนจะเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวเสมอไปนะครับ
ไปๆ มาๆ พาออกนอกเรื่องคดีความของตัวเองไปซะฉิบ -- ถกกับหลายๆ คนมาทั้งวี่ทั้งวัน ถ้ามองกลับกัน เจ้าหนี้ก็น่าเห็นใจ ถ้าไม่ใช้ทนายความมาเล่นบทโหด จากประสบการณ์(ของคนอื่น) ส่วนใหญ่ลูกหนี้ก็มักเล่นมุข "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เฉยลูกเดียวแทบทั้งนั้น จะให้เจ้าหนี้มานั่งไล่นั่งตาม ก็ไม่เป็นอันทำมาหากิน เพราะอย่างนี้ก็เลยเป็นที่มาของการแบ่งเปอร์เซ็นต์ ยอดหนึ้ที่ทวงลูกหนี้มาได้ให้กับทนายความ เพื่อสร้างแรงจูงใจ ส่วนเจ้าหนี้ก็ถือคติว่า "กำขี้ดีกว่ากำตด" ... ก็โอเคนะ บทบาทใครบทบาทมัน (สมมุติทั้งนั้น)
จดหมายลงทะเบียนฉบับนั้น เล่นเอาวันนี้ทั้งวัน ต้องลางาน มาวิ่งเต้น หาทางออกทางหนีทีไล่ จ้าละหวั่นเลยผม เพราะเกรงว่าทุนทรัพย์ที่สู้อุตส่าห์เก็บออมมากว่าสิบปี แต่มีเพียงหยิบมือ จะไม่สามารถไปทำหน้าที่จุนเจืออนาคตของคนที่รักได้อย่างที่ตั้งใจ เท่านั้นเอง
ขอจบทื่อๆ แบบนี้นะ ไว้มีความคืบหน้ายังไง จะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ ไปละ สวัสดี
เลขคดีอ้างอิง (สำหรับค้นหา) :
ภาพประกอบ: http://mason.gmu.edu
"โดยท่านยังคงมีหนี้ค้างชำระอยู่เป็น จำนวนเงินทั้งสิ้น 925,685.29 บาท (เก้าแสนสองหมื่นห้าพันหกร้อยแปดสิบห้าบาทยี่สิบเก้าสตางค์) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.50 ต่อปี"
งานเข้าแล้วไหมล่ะ ทำไงก่อนดีฟะ จากหิวจัดจนตาลาย กลายเป็นอิ่มตื้อ หูอื้ออีกต่างหาก เหลือบมองตาแป๋วลูกคิด แต่ไม่กล้าสบตาโหดของแม่ลูกคิดอะ .. เริ่มต้น เริ่มต้น ไงดี ไงดีวะตู
ขนาดว่าหักเงินที่ธนาคารได้รับจากการขายบ้านทอดตลาดแล้วนะ จากวันนั้น 01/05/2543 วันที่ศาลตัดสิน ยอดหนี้ค้างชำระจำนวน 451,959.12 บาท (สี่แสนห้าหมื่นหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบเก้าบาทสิบสองสตางค์)
จดหมายมาจากทนายความ ก็พอรู้ละว่ามันต้องตัดทอนความเว่อออกไปบ้าง แต่ตัวเลขเท่าไหร่ กี่เปอร์เซ็นต์ ไม่แน่ใจ แม้ว่ายอดนั้นจะมาตามสูตรคณิตศาสตร์ มีหลักการดอกเบี้ยทบต้นรองรับก็ตาม ซึ่งในความเป็นจริงถ้าพระคุณท่านเจ้าหนึ้ต้องการยอดนี้จริงๆ ก็คงเป็นไปได้ยากครับ -- ถ้าท่านเอาจริง ผมคงต้องร้องเพลงน้องโฟร์-มด รอได้เลย "ก็ใจมันหาย ละลายละลายละลายละไหลไปกับเธอ"
ผมมองทนายความเป็นหนึ่งในวิชามารอาชีพ เทือกๆ เดียวกันกับ ตำรวจ นักการเมือง เจ้าพ่อ ผู้ทรงอิทธิพล ทำนองนั้นเลยล่ะ -- นัยของผมก็คือว่า อาชีพเหล่านี้ มีช่องมีโอกาสอย่างมาก ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับตัวบุคคล แบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ง่ายๆ ถ้าคนๆ นั้น มีจิตใจไม่มั่นคงพอ (เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม) ไม่ได้หมายความว่าทนายความทุกคนจะเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวเสมอไปนะครับ
ไปๆ มาๆ พาออกนอกเรื่องคดีความของตัวเองไปซะฉิบ -- ถกกับหลายๆ คนมาทั้งวี่ทั้งวัน ถ้ามองกลับกัน เจ้าหนี้ก็น่าเห็นใจ ถ้าไม่ใช้ทนายความมาเล่นบทโหด จากประสบการณ์(ของคนอื่น) ส่วนใหญ่ลูกหนี้ก็มักเล่นมุข "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เฉยลูกเดียวแทบทั้งนั้น จะให้เจ้าหนี้มานั่งไล่นั่งตาม ก็ไม่เป็นอันทำมาหากิน เพราะอย่างนี้ก็เลยเป็นที่มาของการแบ่งเปอร์เซ็นต์ ยอดหนึ้ที่ทวงลูกหนี้มาได้ให้กับทนายความ เพื่อสร้างแรงจูงใจ ส่วนเจ้าหนี้ก็ถือคติว่า "กำขี้ดีกว่ากำตด" ... ก็โอเคนะ บทบาทใครบทบาทมัน (สมมุติทั้งนั้น)
จดหมายลงทะเบียนฉบับนั้น เล่นเอาวันนี้ทั้งวัน ต้องลางาน มาวิ่งเต้น หาทางออกทางหนีทีไล่ จ้าละหวั่นเลยผม เพราะเกรงว่าทุนทรัพย์ที่สู้อุตส่าห์เก็บออมมากว่าสิบปี แต่มีเพียงหยิบมือ จะไม่สามารถไปทำหน้าที่จุนเจืออนาคตของคนที่รักได้อย่างที่ตั้งใจ เท่านั้นเอง
ขอจบทื่อๆ แบบนี้นะ ไว้มีความคืบหน้ายังไง จะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ ไปละ สวัสดี
เลขคดีอ้างอิง (สำหรับค้นหา) :
- ดำ ธ 24516/2542
- แดง *ธ 06093/2543
ภาพประกอบ: http://mason.gmu.edu
Subscribe to:
Posts (Atom)