Saturday, November 29, 2008

Charlie Bartlett

My name is Charlie Bartlett -- วัยรุ่นย่อมเข้าใจในวัยรุ่นมากที่สุด

ดูจะเป็นเรื่องปกติทั่วไป ที่ผู้ใหญ่ซึ่งผ่านประสบการณ์มาก่อน มักจะหลงลืมวันเวลาของตัวเองในอดีต ไม่ได้นำมันกลับมาใช้ประโยชน์ ในการทำความเข้าใจวัยรุ่นได้ดีเท่าที่ควร

ไม่เฉพาะวัยรุ่น ที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคม ต้องการดูดี ต้องการโดดเด่น ต้องการเพื่อน และต้องการความเข้าใจ นี่มันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนเลยล่ะ -- ควรตระหนัก และเริ่มทำความเข้าใจผู้อื่น จากความจริงพื้นฐานตรงนี้ หรือแม้แต่ในเวลาที่พยายามจะเข้าใจตัวเราเองก็ตาม

ชอบหลายๆ เพลงที่ประกอบหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะ If You Want To Sing Out, Sing Out

Well, if you want to sing out, sing out
And if you want to be free, be free
cause there's a million things to be
You know that there are

And if you want to live high, live high
And if you want to live low, live low
cause there's a million ways to go
You know that there are

Chorus:
You can do what you want
The opportunities on
And if you can find a new way
You can do it today
You can make it all true
And you can make it undo
You see ah ah ah
It's easy ah ah ah
You only need to know

Well if you want to say yes, say yes
And if you want to say no, say no
cause there's a million ways to go
You know that there are

And if you want to be me, be me
And if you want to be you, be you
cause there's a million things to do
You know that there are

Chorus

Well, if you want to sing out, sing out
And if you want to be free, be free
cause there's a million things to be
You know that there are
You know that there are
You know that there are
You know that there are
You know that there are

key quote ที่ผมนึกถึงหลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ซึ่งเพิ่งอ่านผ่านตาจาก goodreads เมื่อ 2-3 วันมานี่เอง ก็อันนี้เลย

"Dance like no one is watching. Sing like no one is listening. Love like you've never been hurt and live like it's heaven on Earth."

Mark Twain


ภาพประกอบ: Wikipedia

Wednesday, November 26, 2008

สัญ..รัก

"รัก" สำหรับผมไม่มีความหมายที่ชัดเจน แต่การแสดง "สัญลักษณ์" ว่ารักพ่อ ของลูกคิดนั้นเป็น "กำลังใจ" ที่มีคุณค่ามากที่สุดเสมอครับ -- เพราะสัญ..รัก ทำให้ความทรงจำทุกเรื่องราวของลูก ปรากฏอย่างชัดเจนขึ้นมาในความคิดของผมบ่อยครั้ง หัวใจพองโต รอยยิ้ม และรอยตีนกา



หนึ่งสัญลักษณ์ก่อนหน้านี้ -- My Daddy is the Best!

Friday, November 21, 2008

ชีวิต "ติดดี"

อ่านเรื่อง อิสรภาพเกิดขึ้นไม่ได้ภายใต้การ “ติดดี" ของอาจารย์ประพนธ์หลายวันก่อน ติดตาติดใจกับถ้อยคำหนักๆ ของท่านพุทธทาส ที่คุณ Handy นำมาฝากในคอมเม้นว่า ทั้งชั่วทั้งดี ล้วน อัปรีย์พอๆ กัน ผมเองค่อนข้างคล้อยตามท่าน osho ครับว่า จะยอมรับ ต้องไม่ "ติด" ทั้งดีทั้งเลว

บันทึกวันนี้ หลังจากได้อ่าน "อตัมมยตา กับ สันติสุข" (แค่ผ่านๆ เรื่องยาวมาก) ที่ลานซักล้าง แล้วทำให้คิดหวนมาที่วลีแรงๆ ข้างบนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ติด จะหลุดได้ ก็ต้องเริ่มจากรู้จริงให้ได้ซะก่อนว่าติดอะไร -- ติดก็ยอมรับว่าติดกันเถอะครับ


ปุจฉาตัวเองอยู่เสมอว่า วันหนึ่งๆ อ่านบล็อกเกี่ยวกับชีวิต แนวทางตั้งมากตั้งมาย เราได้อะไร และเราได้ให้อะไรกับใครบ้าง

วิสัชฉนา "เราได้อะไร": คิด คือคำตอบ พยายามคิดทุกเรื่องที่ได้อ่าน นำเข้าไปใส่ในการกระทำของตัวเองในอดีต รวมไปถึงการจะกระทำของตัวเอง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกหนึ่งคือ ทำ พยายามทำทุกเรื่อง หลังจากผ่านกระบวนการคิดแล้วว่า เรื่องไหนควรทำ และเรื่องไหนไม่ควรทำ

วิสัชฉนา "เราได้ให้อะไร": คำตอบไม่น่าจะใช่การบอกต่อ เผยแพร่ เรื่องราวต่างๆ เหล่านี้เพื่อให้ใครมาเห็นคล้อยตามด้วย โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้ ไม่ต้องป้อน ใครหิวก็หาเองได้ -- แต่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่างหาก ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบ ก็มีบ้าง ที่ได้พูดคุยเรื่องเหล่านี้กับเพื่อนฝูง (เหมือนที่ผมชอบใช้คำว่า "วงเล่า") และครอบครัว

แค่นี้ละครับ ตายเมื่อใดก็สิ้นสูญ ผมไม่ค่อยคิดถึงชีวิตหลังความตายมากนัก เพราะยัง "ติด" กับลมหายใจเข้าออกอยู่


ภาพประกอบ: Redland Community Centre Inc

Wednesday, November 19, 2008

My Big Challenge

โจทย์ที่คิดว่าท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ของชีวิตผม ทะยอยออกมาแล้ว ผิดหวังมาก ไม่ใช่กับผลลัพธ์ แต่ผิดหวังกับตัวเองต่างหาก เพราะที่เป็นอย่างนั้น ส่วนหนึ่ง(ใหญ่ด้วย) วิเคราะห์แล้ว ผมเป็นพ่อ ซึ่งรู้จักลูกคิดดีกว่าใคร แต่กลับไม่ได้ทำอะไร หรือพูดอีกอย่างคือ ปล่อยปะละเลย นี่คือผิดหวังข้อแรก

ผิดหวังข้อที่สอง คือทำใจยอมรับกับผลงานที่แสนห่วยของตัวเองไม่ค่อยได้ เสียเวลากับตัวเองมากเกินไป กว่าจะกลับมาคิด "ทำอะไร" อย่างที่สมควรจะทำ

พร่ำบ่นใส่สมอง จงจำไว้ว่า นี่เป็นเพียงโจทย์เบาๆ ข้อแรกๆ เท่านั้น เพราะลูกคิดเพิ่งใกล้สี่ขวบ ยังต้องเจอหนักกว่านี้อีกเยอะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย อนาคตนั้น มรสุมเศรษฐกิจจะสมทบเข้ามาในขณะเดียวกันอีกมากมาย -- เป็นไปได้สองทาง คือ อยู่ก็สู้ต่อไป กับ ตัดช่องน้อยตายไปก่อน

เป็นอย่างที่เคยบอกตัวเองเสมอๆ (แล้วก็ลืมเสมออีกเหมือนกัน) ว่า "เลี้ยงลูก" นี่ละเป็นเส้นทางการเรียนรู้ชีวิตของแท้

ความเป็นจริงก็คือ ลูกเป็นความงดงามสำหรับชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนนะครับ อย่าเพียงแต่เอาบริบทของสังคมมาตัดสินลูกของเราเลย เพราะมันจะบดบังสิ่งที่งดงามของความรัก จนเรามองไม่เห็น

Friday, November 14, 2008

"Waitress" The Movie

"If only life were as easy as pie."

ระยะหลังมานี้รู้สึกว่าดูหนังออกแนวดราม่า บ้านๆ ดาดๆ (พบเห็นชีวิตทำนองนี้ได้ ตามท้องถนนทั่วไป) เยอะพอสมควร พออายุเยอะๆ (ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกว่าแก่ขนาดนี้มาก่อนเลยอะ) ผมก็บอกตัวเองเสมอว่า การเรียนรู้ชีวิตนั้น ไม่ต้องไปเสาะแสวงหาจากที่ไหนหรอก มองไปรอบๆ รวมทั้งมองที่ตัวเราเองด้วย คิดให้มากๆ ทำความเข้าใจและยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น -- แต่ก็ไม่วายย้ำคิดด้วยว่า "คิดแล้ว ตระหนักแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ทุกครั้งไป"

เก็บ quote ที่โดนๆ จากหนัง Waitress มาฝากกันดีกว่า เป็นตอนที่นางเอก (Jenna) เห็นนายจ้าง (Cal) ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ก็เลยเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
Jenna: Cal?
Cal: Yeah?
Jenna: Are you happy? I mean, would you call yourself a happy man?
Cal: Well if you're asking me a serious question, I'll tell you: I'm happy enough. I don't expect much, I don't give much, I don't get much I'm generally enjoy whatever comes up. That's my truth, summed up for your feminine judgment. I'm happy enough.

เรื่องนี้ผมไม่แนะนำครับว่า ควรดูหรือไม่ ความเห็นส่วนตัว ผู้ชายคงเฉยๆ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ น่าจะชอบ

ข้อมูล: IMDb

Wednesday, November 12, 2008

My twitter as bookmark

เพราะว่าชอบใช้ twitter เป็น short note สำหรับ bookmark ลิงก์ที่ผมสนใจเก็บไว้เป็นประจำ (เผื่อเอาไว้แวะกลับไปอีกครั้ง) ดังนั้น Firefox Add-ons ตัวที่เหมาะก็คือ TwitterBar เพราะสามารถพิมพ์ข้อความที่ address bar ของ firefox ซึ่ง url ที่ปรากฏอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องพิมพ์หรือไม่ต้อง copy ไปแปะที่ไหนอีก

เวลากลับมาไล่หาดูอีกครั้ง ก็ใช้ search ของ twitter ด้วย query string "snakk+http" เพื่อคัดกรองส่วนที่ไม่ต้องการออกไป เท่านี้เองอะ

อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไรนัก แต่สะดวกและรวดเร็วสำหรับผมที่สุดแล้วละ (ณ เวลานี้)


Sunday, November 09, 2008

"RED" The movie

RED ชื่อหนังซึ่งมาจากชื่อหมา ซึ่งเป็นชนวนแห่งโศกนาฏกรรม หนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ฉายในบ้านเรา เลยขออนุญาตร่ายเนื้อหาคร่าวๆ ซักหน่อย

Avery Ludlow อดีตทหารอเมริกัน ผ่านศึกสงครามเกาหลี ใช้ชีวิตวัยชราเพียงลำพังในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง อยู่กับ "Red" สุนัขแสนรัก ซึ่งภรรยาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เมื่อ 14 ปีที่แล้ว จุดเกิดเหตุของเรื่อง เกิดจากความคะนองของวัยรุ่นห้าว 3 คน นำโดย Danny McCormak ซึ่งลงมือยิง Red ตายต่อหน้าต่อตา Avery โดยไม่มีสาเหตุใดมากไปกว่า ความสนุกและสะใจ

Avery ตามสืบจนได้ชื่อที่อยู่ นำเรื่องไปเล่าให้ Michael พ่อของ Danny ฟัง แต่ Michael กลับปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ เนื่องจาก Danny บอกว่าไม่ได้ทำ ส่วน Harold น้องชายนั้น รู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความกลัวจึงไม่กล้าขัดพ่อและพี่ชาย

Avery เพียงต้องการให้ Danny ยอมรับผิด ขอโทษ และสำนึกผิดอย่างจริงใจก็เท่านั้น มีฉากหนึ่งที่ Harold ยืนยันกับ Avery อย่างมั่นใจว่า "You don't get it" "You don't understand. That's just not gonna happen."

Avery พยายามทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะด้วยกฎหมายและสื่อ แต่ด้วยอิทธิพลของ Michael McCormak ซึ่งเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งประจำเมืองเล็กๆ แห่งนี้ Avery ไม่สามารถกดดันให้ Danny ยอมรับผิดอย่างที่ต้องการได้ เขาจึงตัดสินใจพิพากษาความผิดนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งโศกนาฏกรรมคือผลลัพธ์ที่เกินคาด -- ไฮไลต์ของหนัง กับคำถามทิ้งท้ายสำหรับตัว Avery คือ ที่เขาทำลงไปนั้นผิดหรือถูกกันแน่

ผมก็คงเหมือนกับคนส่วนใหญ่ถ้าได้ดูหนังเรื่องนี้ จะติดตามเรื่องราวอย่างตื่นเต้น ไม่มีอาการหาวนอน เพราะเอาใจช่วย Avery อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากหนัง ค่อนข้างให้น้ำหนัก กับการสร้างบรรยากาศให้เป็นแบบนั้นแทบตลอดทั้งเรื่อง มันเลยทำให้คำถามไฮไลต์ทิ้งท้ายของ Avery ดูอ่อนไปมากทีเดียว

ดูจบแล้ว คิดอะไร
ในความเป็นสังคมเพื่อความสงบสุขของมนุษย์ ยากนักที่ลูกหลานของมนุษย์เรา จะเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จากการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ ที่เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กจนโต เพราะมันมีความขัดแย้งมากมาย กับคำสอนที่ว่า "...ลูกต้องเป็นคนดีของสังคมนะ..." -- ตราบใดที่เรายังตอบลูกไม่ได้ว่า ทำไมคุณค่าและการยอมรับจากสังคม จึงมักอยู่กับเด็กเก่ง เด็กฉลาด แล้วเด็กที่เรียนไม่เอาไหน ถึงถูกมองข้าม ตราบใดที่ยังตอบไม่ได้ว่า ทำไมสังคมธุรกิจ ต้องแข่งขันกันทำงาน แข่งขันกันร่ำรวย ทำไมจึงมีหนังสือพ่อรวยสอนลูก พ่อจนสอนลูก และตราบใดที่... สงคราม ความขัดแย้ง ของผู้ใหญ่ ที่ก่อให้เกิดการทำลายล้าง ยังคงดำรงอยู่ และดูเหมือนจะหนักขึ้น อย่างไม่มีวันจบสิ้น

ภาพประกอบ: Magnolia Pictures

Thursday, November 06, 2008

คน ทีม งาน

ระหว่างอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดินเมื่อเช้านี้ เห็นด้านหลังเสื้อสีแดงของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้า ปักข้อความว่า "Human Resource Management" คำมันสอดคล้องกับเรื่องที่กำลังคิดอยู่พอดี โดยไม่ได้เจตนา

ถึงที่ทำงาน หย่อนก้นลงเก้าอี้ เปิดเน็ต เข้ากูเกิ้ล ค้นหาคำ "human resource management" ทันที เจอเอกสารภาษาไทยอันหนึ่ง บอกว่าการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) มีลักษณะ 13 อย่างข้างล่างนี้
  1. เน้นให้ควบคุมตนเอง
  2. เน้นการทำงานมีแบบแผน
  3. มีการวางแผนระยะยาว
  4. มีการกำหนดอำนาจหน้าที่หลายด้าน
  5. มององค์การอย่างสมัยปัจจุบัน
  6. ให้ความสนใจในสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
  7. ปฏิบัติต่อคนในองค์การแตกต่างกัน
  8. มีการนำระบบ IT มาใช้ในการเก็บข้อมูล
  9. มองสภาพแวดล้อมขององค์การ มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง
  10. มองบุคคลในองค์การแต่งต่างกัน
  11. มีการกำหนดบทบาทของบุคคลที่ยืดหยุ่นมากกว่า
  12. มองประโยชน์ที่จะได้รับจากบุคคลเป็นหลัก
  13. มองบุคคลเป็นสินทรัพย์
ด้วยความเป็นคนเจ้าแห่งหลักการ (concept) แต่ไม่ลงรายละเอียดอย่างผม (แค่ 13 ข้อข้างบน ผมก็ว่ามันเป็นรายละเอียดแล้วล่ะ) เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เกิดและดับ เป็นเพราะมนุษย์แทบทั้งสิ้น ซึ่งทุกสิ่งที่เป็นนามธรรมนั้นใช่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น องค์ความรู้ที่โลกยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นศาสนา วัฒนธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี และศาสตร์ทุกแขนง ย่อมเข้าข่าย

เป็นการมองภาพกว้าง แนวๆ concept ของผม คราวนี้กลับมาที่ภาพเล็ก เรื่องการทำงาน การบริหารจัดการ ซึ่งคิดแบบผมก็คือ HRM ทั้ง 13 ข้อข้างต้น เป็นผล เป็นความคาดหวัง ไม่ใช่เหตุ พูดให้ชัด เหตุก็คือ คน หรือให้ชัดกว่านั้นคือ ใจ ทัศนคติ ความเชื่อ ศรัทธา หรืออะไรประมาณนั้น ที่อยู่ข้างในของคน ... ประเด็นคือ จะทำอย่างไร ให้คนในทีมมีสิ่งเหล่านี้

แต่ใจ ทัศนคติ ความเชื่อ ศรัทธา หรืออะไรประมาณนั้น ที่อยู่ข้างในของแต่ละปัจเจก คุณค่าจะเกิดกับส่วนรวมได้ มันต้องเชื่อมโยงระหว่างอะไรประมาณเหล่านั้นกับตัวเองซะก่อน แล้วจึงจะถูกปล่อยออกมายังส่วนรวมได้ แต่มนุษย์เรามักจะเรียนรู้จากคนอื่น ดังนั้นจึงเกิดศาสตร์ที่นิยามความเป็น "ผู้นำ" ขึ้นมา

เคยมีน้องคนหนึ่งบอกว่า ฝันอยากได้ทีมในอุดมคติซึ่งไม่ต้องมีผู้นำ ทีมนั้นเป็นทีมที่เปี่ยมไปด้วยทัศนคติบวก มีเป้าหมายร่วม ซึ่งผู้บริหารท่านก็บอกว่า ในความเป็นจริงคงไม่มีทีมแบบนั้นหรอก เพราะฉะนั้น "หัวหน้า" หรือ "ผู้นำ" จึงจำเป็น

ผู้นำ หรือใครก็ได้ที่หวังดีกับทีม นอกจากทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมแล้ว ถ้าทีมยังไม่ใช่ทีมในอุดมคติ ก็ต้องพยายามทำให้มันเข้าใกล้ให้ได้มากที่สุด concept (อีกละ) ก็คือ จำเป็นต้อง ลงรายละเอียด เรียนรู้ ทุกคนในทีม เพราะนี่ละคือแนวทางขั้นพื้นฐานเพื่อความสำเร็จของทีม

สุดยอดความรู้ ก็คือ ความรู้เรื่องคน แต่คงจะต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ไม่มีวันจบ เพราะคนหนึ่งคนก็หนึ่งแบบ และในหนึ่งคนเมื่อต่างเวลา ก็อาจต่างแบบออกไปอีก ... มันท้าทาย และไม่สามารถเขียนออกมาเป็นศาสตร์สำเร็จได้ เรียนรู้คนอื่น ถือเป็นการเรียนรู้ตัวเองและพัฒนาตัวเองไปในขณะเดียวกัน ส่วนวิธีการก็เป็นเรื่องของแต่ละปัจเจก ซึ่งสามารถแบ่งปันกันได้ครับ

การได้มีโอกาสพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับคนที่เรียนรู้เรื่องคนมาเยอะๆ นั่นคือวิธีการด่วนซึ่งดีมากๆ วิธีหนึ่ง เสียดายแต่ว่าทุกวันนี้ ผมแทบจะไม่มีโอกาสอย่างนั้นเลย -- ณ วันนี้ ผมเรียนรู้ลูกสาวผมเอง ซึ่งอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เรียนรู้ พัฒนาการ และบ่มเพาะทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องที่สนุกมากจริงๆ ครับ... ขอบอก

มันแปลกแต่ไม่น่าจะประหลาด ถ้าไม่อยากบริหารจัดการงาน แต่อยากบริหารจัดการคน พอเข้าไป build ใจ ทัศนคติ ความเชื่อ ศรัทธา หรืออะไรประมาณนั้นของคนได้แล้ว เป็นอันจบหมดหน้าที่ เพราะผมเพียงอยากเรียนรู้เรื่องคนเท่านั้น -- การเรียนรู้คน ไม่จำเป็นต้องทำงานในตำแหน่งบริหารเสมอไป

สรุปง่ายๆ ว่า concept (ทิ้งท้าย) คือ "ใจมา คนมา งานก็จะตามมาเอง"


เอกสารอ้างอิง: อ. จิตรลดา วัฒนาพรรณกิตติ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
ภาพประกอบ: Presentation Zen