ถ้าไม่ใช่งานวิจัยแล้วไซร้ วิศวกรรมจำเป็นต้องคิดและพิจารณาในมุมของเศรษฐศาสตร์ด้วยเสมอ
quote ข้างบนเป็นของเจ้านายผมเอง แกพร่ำ(บ่น)บอกลูกน้องเสมอๆ ซึ่งในบริบทหนึ่งเห็นด้วยอยู่แล้วครับลูกพี่
...
วันนี้มีโอกาสไปเป็นผู้เข้าฟังเสวนา จัดโดย TRIDI ในหัวข้อ แนวโน้มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร...2009-2014 ถือโอกาสเก็บ quote เล็กๆ น้อยๆ จากนักวิชาการทั้งสามท่านมาฝากกันซักเล็กน้อย
ดร.บัณฑิต โรจน์อารยานนท์
- ในมุมของการเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีไอทีนั้น คนไทยเราเร็วและทันโลกมาก ใช้เยอะ ใช้ทุกอย่าง แต่ขอให้คิดซักนิดนะครับ ว่าไอ้ที่เราใช้นั้น มันคุ้มหรือมันจำเป็นจริงๆ หรือไม่ หลายๆ อย่างเป็น sunk cost เป็น sunk cost ของสังคม
- ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสังคมในเชิงลบ คือ อาการด่วนได้ใจร้อน เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบัน สามารถตอบสนองพวกเราได้อย่างรวดเร็ว เช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งโทรปุ๊บก็ได้คุยกับคนที่ต้องการคุยด้วยปั๊บ (ไม่ต้องตามตัวกันจ้าละหวั่นเหมือนโทรศัพท์บ้าน) หรือกล้องดิจิตอลที่ถ่ายรูปเสร็จเห็นภาพทันที เป็นต้น นี่แหละที่ทำให้คนในสมัยนี้ ใจร้อน ไม่อดทน ผมคิดว่านี่คือมูลเหตุหนึ่งของความขัดแย้งในสังคม
ดร.เจน จูฑา
- โดยส่วนตัว FTA ไม่น่ากลัว และแทนที่ FTA จะเป็นวิกฤต ผมกลับคิดว่ามันคือโอกาสซะด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเราคนไทยต้องเร่งทำก็คือ พัฒนาคน ในด้านเทคโนโลยีนั้น คนไทยเก่งและมีศักยภาพทัดเทียมนานาชาติอยู่แล้ว แต่จุดที่ต้องเน้นอย่างมากคือ การนำความรู้ความสามารถนั้นมาต่อยอดเป็นโอกาสทางธุรกิจต่างหาก พูดง่ายๆ คือนำเอาเทคโนโลยีมาทำเป็นธุรกิจได้อย่างไร
ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ
- ผมไม่คิดว่า เทคโนโลยีจะเป็นปัญหากับเด็กในยุคปัจจุบัน และไม่น่าจะขยายตัวและส่งผลกระทบในวงกว้างกับสังคม นึกถึงตอนเราเป็นวัยรุ่น พ่อแม่เราก็มองว่าเรามีปัญหา เพียงเพราะว่าวัยรุ่นยุคเรา มีพฤติกรรมไม่เหมือนวัยรุ่นยุคพ่อแม่ ซึ่งผู้ใหญ่สมัยนั้นก็จะมองในแง่ลบไปหมด แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราส่วนใหญ่ต่างก็เติบโต เรียนจบ ออกมามีหน้าที่การงาน เป็นคนอย่างเราๆ ท่านๆ คงมีแค่ไม่กี่คนที่แย่ เป็นปัญหาของสังคม
ผมชอบทั้งสามท่านตรงที่พยายามตอบคำถามทุกคำถามอย่างตรงประเด็น พร้อมทั้งให้แง่คิดจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง งานนี้ได้อะไรหลายอย่างที่เป็นประโยชน์มากครับ -- ขอน้อมคารวะท่านผู้จัดจากใจจริง
และที่ลืมไม่ได้อีกหนึ่งคือ @nuishow ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเสวนาและตั้งคำถาม ผมว่าเขาคนนี้แหละตัวจริงเสียงจริง ที่ทำให้งานสัมนาน่าสนใจมากๆ
ป.ล. ที่ตั้งชื่อเรื่องว่า Sunk Cost เพราะจับใจตรงประโยค sunk cost ของสังคม ของ ดร.บัณฑิต
No comments:
Post a Comment